Chocolatier's Love บทที่1

Chocolatier's Love

 

เสียงดนตรีซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกเวลาสิบนาฬิกาดังขึ้น ทําให้เสียงจ้อกแจ้กจอแจในชั้นอาคารนั้นเงียบลงชั่วขณะ ลูกค้ารายแรกของวันก้าวขึ้นบันไดเลื่อนมาเยือน

ยินดีต้อนรับครับ"

เซโนะ โยชิกิ แย้มยิ้มพลางก้มศีรษะอย่างนอบน้อมได้องศาสวยงาม

หนึ่งในหน้าที่ประจําของเขาคือต้องยืนรอต้อนรับลูกค้าตลอดสิบนาทีแรกหลังจากเปิดห้างทุกวัน ช่วงแรกๆ ชายหนุ่มมักจะทําแว่นเลื่อนหลุด จากใบหน้าอยู่หลายครั้ง แต่ตอนนี้เขาสามารถ กล่าวทักทายไปพร้อมกับ ก้มหัวได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐาน

ช่วงเจ็ดปีที่ทํางานนี้ โยชิกิต้องต้อนรับลูกค้าแบบนี้เกือบทุกเช้า

ยินดีต้อนรับครับ

จังหวะที่กําลังเงยหน้าขึ้นก็เห็น อุจิมุระ รุ่นน้องที่อยู่ข้างๆ ขยับร่างกายยุกยิกอยู่ตลอดซึ่งถือเป็นข้อเสีย เขาเคยเอ่ยเตือนไปหลายครั้งแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยปรับปรุงตัวเลย ไม่เข้าใจว่าทําไมถึงอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ แค่สิบนาทีเท่านั่นเอง

เดี๋ยวคงต้องตักเตือนทีหลังอีกรอบ โยชิกิคิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาคลี่ยิ้ม ซึ่งทําจนติดเป็นนิสัย

รับรองลูกค้าด้วยความจริงใจเป็นคติของห้างสรรพสินค้าไคโต เฉพาะเวลานี้เท่านั้นที่โยชิกิจะได้พบกับลูกค้าโดยตรง เขาจึงค้อมศีรษะลงด้วยเคารพจากใจ

สัปดาห์นี้ ตรงลานกิจกรรมมีการจัดแสดงสินค้าจากฮอกไกโด

การช่วยงานจิปาถะตามบูธขายของและการจัดโซนพื้นที่ศูนย์อาหารเป็น หน้าที่ของโยชิกิซึ่งทํางานในแผนกส่งเสริมการขายอาหารของห้างแห่งนี้

สินค้าจากฮอกไกโดได้รับความนิยมตามที่คาดไว้ แม้จะเป็นช่วง เช้าของวันธรรมดา แต่เผลอแป๊บเดียวผู้คนก็แห่มากันอย่างคับคั่ง มากกว่า ช่วงเวลาปกติเป็นเท่าตัว บริเวณหน้าบูธของร้านชื่อดังแทบจะต้องต่อแถวรอ ชื่อสินค้ากันเลยทีเดียว

เนื่องจากแผนงานนี้ไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะของห้าง หากมีบางคนรู้สึกคล้ายในงานขาดอะไรไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

หลังจบการกล่าวทักทาย โยชิกิตั้งใจจะกลับเข้าไปยังสํานักงาน ตอนนั่นเองคนจากร้านค้าหลากหลายก็ส่งเสียงเรียกเขา

คุณเซโนะ ช่วยแวะตรงนี้ด้วยนะ มีของอยากให้ดูหน่อย

ครับ เดี่ยวไปนะครับ

เมื่อตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก็มีเสียงเรียกจากอีกด้านมาทางนี้ด้วยนะ แล้วก็...ลองชิมนี่ดูสิ

แพ็กขนมไดฟุกุไส้ถั่วถูกยื่นมาให้ สิ่งนี้เป็นสินค้าจากร้านซึ่งขึ้นชื่อในการใช้ถั่วแดงเป็นวัตถุดิบ

ขอบคุณมากครับ"

เมื่อมองดูจนแน่ใจว่ารอบๆ ไม่มีใครแล้วจึงรับของกํานัลมา ความจริงแล้วการรับสินค้าที่จะนํามาวางขายเป็นเรื่องไม่สมควร แต่เพราะโยชิกิยึด หลักการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับร้านค้าเป็นสําคัญ เนื่องจากฝ่ายที่จะได้พบปะ กับลูกค้าโดยตรงก็คือร้านค้าเหล่านี้ เขาจึงพยายามสร้างบรรยากาศดีๆ ให้ ทุกคนทํางานกันอย่างมีความสุข

ตอนจะกลับเข้าไปยังพื้นที่สําหรับพนักงาน โยชิกิก็ไม่ลืมก้มศีรษะให้เหล่าผู้ค้าทั้งหลาย

สมแล้วที่เป็นเจ้าชาย แตกต่างกันมากจริงๆ"

พอเข้ามาในส่วนของพนักงาน อุจิมุระซึ่งอยู่ด้านหลังก็พูดขึ้น พลางมองแพ็กไดฟุกอย่างชื่นชม

พอเถอะ น่าอายออก

เจ้าชายแห่งไคโต' เป็นฉายาของโยชิกิ

หลายปีก่อน โยชิกิได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นหัวหน้ารับผิด ชอบงานฝ่ายศูนย์อาหาร ในช่วงเวลาเดียวกันก็มีค จากนิตยสารมาเก็บ ข้อมูลไปเขียนคอลัมน์ และได้ตั้งฉายานี้ให้เขาตามใจชอบโดยไม่ถามความสมัครใจสักคำ

หลังจากนั้นไม่นาน ฉายาแสนน่าอายนี้ก็รู้กันทั่วในวงกว้าง แต่ละ คนต่างเรียกกันอย่างชอบใจ แม้โยชิกิจะคิดว่ามันเป็นฉายาที่ไม่เหมาะกับ ผู้ชายอายุจะขึ้นเลขสามในปีหน้าเลย แต่ดูเหมือนนั่นจะกลายเป็นชื่อเฉพาะ ของเขาภายในห้างนี้ไปเสียแล้ว

ไม่หรอกครับ ตอนนี้คุณโยชิกิก็ยังเป็นที่หมายปองของลูกค้ากับ ผู้เช่าร้านหลายคนอยู่นะ

ไม่รู้เพราะเหตุใด โยชิก็มักเป็นที่ถูกใจของหญิงสาวอายุมากกว่า เป็นพิเศษ เป็นเรื่องจริงที่หญิงสาวเหล่านั้นมักชอบเข้ามาทักเขา แต่ พฤติกรรมเช่นนั้นกับการเป็นที่หมายปองดูจะคนละความหมาย ครั้นจะปฏิเสธก็เสียเวลาอธิบาย และเขาก็ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยเรื่องไร้สาระแบบนั้นด้วย

อุจิมุระ การทักทายถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่สําคัญมากนะ ถ้าว่าง พอจะพูดจาไร้สาระล่ะก็ มาฝึกกันอีกสักรอบดีไหม?”

"ไม่เอาแล้วครับ ขอโทษครับ"

รุ่นน้องผู้มีข้อดีตรงที่ว่าง่าย กล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เมื่อลงบันไดตรงด้านในสุดก็จะเจอกับแผนกส่งเสริมการขายใกล้ๆ ทางเข้าสํานักงานอันไร้ความเป็นระเบียบนั้นคือที่นั่งของโยชิกิ

หลังจากวางแพ็กไดฟุกุไส้ถั่วลงบนโต๊ะทํางานแล้ว เขาก็เปิด คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเพื่อตรวจดูยอดขายของวันก่อนทันที หนึ่งวันของโยชิกิเริ่มต้นด้วยกิจวัตรเช่นนี้

***************************************************

อย่าเมินผมสิครับ

คําพูดเฉกเช่นทุกครั้งดังขึ้นจากชายหนุ่มผู้กําลังยกแก้วจรดริมฝีปาก ชายผู้นี้คือ โซเอจิมะ โมโตยะ

ทุกคนภายในร้านนี้จะไม่เรียกนามสกุลของอีกฝ่าย แต่จะเรียกชื่อจริงแทน

ก็ปฏิเสธไปหลายครั้งแล้วนี่ครับโยชิกิยิ้มขณะให้คําตอบเช่นทุกครั้ง

ถึงจะยังไม่ได้คบใครก็เถอะ"

เสียดายจัง

โมโตยะว่าพลางแกว่งแก้วในมือจนได้ยินเสียงน้ําแข็งกระทบกัน

จริงๆ เลยนะ คนที่ทิ้งโมโตยะได้ก็คงจะมีแต่โยชิกินี่แหละ"

โอนเนอร์ประจําร้านแห่งนี้ยืนห่อไหล่อยู่อีกด้านของเคาน์เตอร์

ใช่เลย ตั้งแต่เกิดมาผมเพิ่งเคยแพ้อย่างหมดรูปแบบนี้เป็นครั้งแรก ทุบสถิติเลยครับ

              โมโตยะยิ้มจนปรากฏริ้วรอยที่หางตา

ชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนที่ไม่ว่าอะไรก็ดูใหญ่โตไปหมด ทั้งตา จมูก ริมฝีปาก ไปจนถึงมือ เส้นผมสีดําสนิทไร้การแต่งเติมชนิดหาได้ยากยิ่งในสมัยนี้รับกับคิ้วเข้มซึ่งแสดงออกถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าประดับอยู่บน ใบหน้า ถัดลงมาคือนัยน์ตาคู่หนึ่งพร้อมเปลือกตาสองชั้น

โมโตยะมีรูปร่างสูงใหญ่ แม้ร่างกายจะดูบึกบึน แต่ก็ไม่ได้ให้ความ รู้สึกคุกคามแต่อย่างใด สิ่งที่ช่วยทําให้หลายๆ ส่วนซึ่งดูน่ากลัวจนเหมือน กําลังข่มขู่ใครอยู่นั้นนุ่มนวลขึ้น คงจะเป็นดวงตาสีดําสนิทที่กําลังเปล่งประกายราวกับเด็กน้อยกระมัง

โมโตยะเป็นผู้ชายที่แม้รูปโฉมจะไม่โดดเด่นมากนัก แต่กลับทรง เสน่ห์จนเกินควร รอยยิ้มของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดชวนมอง ยาม พบปะผู้คน บรรยากาศรอบกายของเขาจะดูนุ่มนวล ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร โมโตยะก็พูดคุยด้วยได้ทันทีอย่างสนิทสนม

คงจะต้องจีบอย่างใจเย็นเท่านั้นแหละ

โยชิกิหลุดขํากับคําพูดยอมรับสภาพกลายๆ ของอีกฝ่าย เวลา อยู่เงียบๆ ภาพลักษณ์ของโมโตยะจะดูดิบเถื่อน แต่วิธีการพูดของเจ้าตัวมัก ทําให้คู่สนทนารู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้เสมอ

ถ้าอย่างนั้นก็ทําต่อไปแล้วกันนะครับ

แม้จะพูดกันเล่นๆ แต่การสนทนาแบบนี้ก็ทําให้โยชิกิสบายใจ แถมเขายังถูกใจร้านที่มีชายคนนี้อยู่ด้วย

ทว่าน่าเสียดาย โยชิกิไม่ได้ชอบคนแบบโมโตยะ เขาชอบผู้ชายที่ดูสุขุมแบบผู้ใหญ่ต่างหาก

ร้าน “KK” แห่งนี้เป็นร้านเฉพาะกลุ่ม โดยจะมีแต่ผู้ชายซึ่งแสวงหา ความรักระหว่างเพศเดียวกันแวะมาเยือนเท่านั้น

ร้านนี้ไม่ได้เป็นสถานที่ลึกลับหายากอะไร ทางร้านมีกฎเหล็กว่า หากต่างฝ่ายต่างพึงพอใจ จะเข้าไปพูดคุยทําความรู้จักหรือเชิญชวนกันก็ทําได้เลย แต่การกระทํานอกเหนือจากนั้นถือเป็นข้อห้าม ฐานลูกค้าเองก็

พิจารณาเป็นอย่างดี

แม้กระทั่งในตอนนี้ ดูเหมือนตรงโซฟาด้านในสุดจะมีการเจรจา เกี่ยวกับการค้าบางอย่าง แต่เหมือนจะไม่ถึงขั้นซื้อขายแลกเปลี่ยนกันแต่อย่างใด

สาเหตุที่ตั้งกฎแบบนี้อาจเป็นเพราะรสนิยมเฉพาะของโอนเนอร์ ผู้ซึ่งนําชื่อย่อในอักษรโรมันจิของตัวเองมาตั้งเป็นชื่อร้านก็เป็นได้ พอมองผ่านๆ แล้ว ภาพลักษณ์ภายนอกของโอนเนอร์ดูเหมือนเป็นชายวัยกลางคน ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น

ร้านนี้เป็นร้านที่สามารถนั่งดื่มได้อย่างสบายใจ ถือเป็นสถานที่ให้ โยชิกิได้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าทางใจได้เป็นอย่างดี ยามที่ได้ก้าวเท้าออกจากที่ทํางานซึ่งมีแต่ผู้หญิง มุ่งหน้าตรงมาที่ที่ทําให้จิตใจที่ว้าวุ่นของเขาสงบ ลง ไม่ใช่ว่าไม่ถูกกับผู้หญิง หากแต่ก็รู้สึกเครียดๆ อยู่บ้าง

เสียงบานประตูหน้าร้านเปิดออกดึงความสนใจของโยชิกิให้หันไปมอง มีชายสองคนเดินถือร่มเข้ามา

ยังไงก็เถอะ ปีนี้ฝนตกถี่จังนะครับ

ไม่ชอบให้ฝนตกเลย"

ใช่ ทางนี้ก็ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศเต็มๆ เหมือนกันโมโตยะมุ่ยหน้าพลางถอนหายใจ แม้จะอายุน้อยกว่าโยชิกิหนึ่งปี แต่พอทําสีหน้าแบบนั้นแล้วก็ยังดูน่ารัก ที่จริงอีกฝ่ายก็จัดว่าเป็นผู้ชายที่ใช้ได้คนหนึ่ง

ระหว่างที่พูดคุยกันเรื่อยเปื่อยสบายๆ โยชิกิก็คอยดูเวลาไปด้วย ตอนนี้ก็สี่ทุ่มแล้ว ร้านที่เปิดให้บริการยันเช้าเช่นที่นี่ แม้จะเป็นช่วงเวลา เดียวกันในวันธรรมดา ที่นั่งก็ยังคับคั่งไปด้วยผู้คนอยู่เสมอ

วันนี้จะเอาอย่างไรต่อดี

โมโตยะที่เผลอมองนาฬิกาของโยชิกิเข้าพอดี ก็อุทานออกมาก่อนเบิกตากว้าง

ป่านนี้แล้วหรือเนี่ย อยู่กับคุณโยชิกิทีไร ผมลืมเวลาตลอดเลยร่างสูงยกเครื่องดื่มในมือเข้าปากจนหมดแก้วอย่างรีบร้อน

กลับไวจัง พรุ่งนี้วันหยุดไม่ใช่หรือ?”

ถ้าจําไม่ผิด โมโตยะเองก็หยุดทุกวันพุธเหมือนเขา หากเป็นช่วงปกติ ตอนนี้ก็น่าจะยังไม่ถึงเวลากลับนี่นา

น่าเสียดายเหมือนกัน แต่พรุ่งนี้มีงานใหญ่รออยู่น่ะครับชายหนุ่มลุกจากที่นั่งพร้อมกล่าวว่าไว้เจอกันนะครับก่อนจะ เอื้อมมือมาตบบ่าเบาๆ ทําให้โยชิกิได้กลิ่นหวานๆ คละด้วยกลิ่นหอมเบาบาง เป็นกลิ่นที่รู้สึกได้เฉพาะตอนเข้าใกล้อีกฝ่ายเท่านั้น ไม่ใช่กลิ่นน้ําหอม แต่เป็นกลิ่นหอมหวานซึ่งประทับอยู่บนผิวกาย

โยชิกิมองตามแผ่นหลังของโมโตยะผู้หันมาโบกมือให้ก่อนออกจากร้านไป หลังจากประตูปิดลง โอนเนอร์ก็หันมาทางโยชิกิ

อาจจะดูหุ้นไม่เข้าเรื่องนะโอนเนอร์เอ่ยขึ้นพลางจุดบุหรี่ในมือ

แต่แนะนําให้เป็นเขา

หมายถึงโมโตยะ?”

ใช่ เป็นผู้ชายที่ดีนะ แถมยังซื่อตรง จริงจัง ไม่ใช่ประเภทที่กะคบเล่นๆ ด้วย

"นั่นสินะ"

ก็เคยเห็นลูกค้าคนอื่นในร้านเข้ามาทักโมโตยะอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็นชายหนุ่มสนองตอบเลยสักครั้ง และช่วงนี้ดูเหมือนเจ้าตัวเห็นเขา มาที่ร้านทีไร เป็นต้องรีบมานั่งข้างๆ ตลอด

เคยได้ยินสาเหตุที่เขาถูกทิ้งมาก่อนไหม?”

เรื่องแบบนั้นเขาไม่พูดกับผมหรอก

เพียงแค่คุยกันแต่เรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย อีกฝ่ายเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่รู้จักแค่ชื่อกับหน้าตา หากก้าวเท้าออกจากร้านก็คงไม่มีทางได้เจอกันอีก ยิ่งจะให้นัดมาเจอกันยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ พวกเขาก็แค่มาที่ร้านนี้ในวันเดียวกันทุกสัปดาห์ แค่เจอหน้าและพูดจาในเชิงเกี้ยวพากันเท่านั้น เป็นความสัมพันธ์ที่โยชิกิเป็นฝ่ายปฏิเสธอยู่ฝ่ายเดียว

ก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ ถ้างั้นจะเล่าให้ฟัง เขาน่ะเป็นพวกชอบ ใครก็มักจะคอยตามออดอ้อนอยู่ตลอด เพราะงั้นก็เลยโดนทิ้งเพราะอีกฝ่ายรําคาญไงล่ะ

อย่างนี้นี่เอง"

จะว่าไปก็พอเข้าใจอยู่ ถึงจะเคยคุยกันแค่ในร้านนี้ แต่โมโตยะก็ เป็นคนช่างสังเกตและคุยเก่งพอตัว จึงสานต่อบทสนทนาได้อย่างมีไหวพริบ ทั้งยังฉลาดในการเลือกหัวข้อมาพูดคุยได้หลากหลายอีกด้วย

ครั้งแรกที่ได้คุยกันนั้นเป็นเพราะเขาบังเอิญจับแก้วที่มีหยดน้ําเกาะอยู่เต็มไปหมดจนนิ้วเปียกชุ่ม ตอนนั้นโมโตยะที่อยู่ข้างๆ ได้ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้

เนื่องจากเพิ่งเคยถูกปฏิบัติด้วยแบบนั้นเป็นครั้งแรก เขาเลยเผลอตัวมองหน้าอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ ทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน จากนั้นโอนเนอร์ก็ได้แนะนําโมโตยะให้รู้จัก พวกเขาจึงได้เริ่มพูดคุยกันตั้งแต่ตอนนั้น

หลายเดือนต่อมา โมโตยะก็เริ่มพูดเกี้ยวเขามาจนถึงทุกวันนี้ อีก ฝ่ายบอกว่าอยากเข้ามาทักและคอยเล็งหาจังหวะเหมาะๆ มาตลอด แล้วก็เป็นเช่นนั้นจวบจนกาลเวลาผ่านไป

ปัจจุบันนี้โยชิกิรู้สึกว่าการได้คุยเล่นกับโมโตยะก็สนุกสนานดี และ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทําให้เขาสบายใจเมื่อได้มาเยือนร้านนี้

รําคาญนั้นหรือ? ไม่รู้สินะ ผมยังไม่เคยเจอใครช่างอ้อนขนาดนั้นมาก่อน โอนเนอร์ได้แต่ถอนหายใจ

โยชิกิ คนอย่างนายควรจะถูกให้ความสําคัญมากกว่านี้นะ

หมายความว่ายังไง?"

ขณะทวนถามถึงถ้อยคําอันยากจะเข้าใจความหมาย โยชิกิก็ขยับแว่นให้เข้าที่

ก็นายออกจะสวย”

ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก"

สงสัยโอนเนอร์จะชื่นชอบใบหน้านี้มากกระมัง ถึงได้ขยันชมบ่อยเหลือเกิน ทว่าโยชิกิกลับไม่ชอบใบหน้าตัวเองสักเท่าไหร่

เพราะมองอย่างไรก็เป็นใบหน้าที่เย็นชาและไม่อาจพูดว่าดูสมชายชาตรีได้อย่างเต็มปาก โดยรวมแล้วโยชิกิมีผิวสีอ่อนที่สืบทอด พันธุกรรมมาจากพ่อแม่ ส่วนร่างกายของเขานั้นไม่ว่าจะออกกําลังหรือเล่น กีฬาใดๆ ก็ยังคงผอมบางซึ่งถือเป็นปมด้อยมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว

การที่เลือกสวมแว่นทั้งที่สายตาไม่ได้ผิดปกติก็เป็นเพราะเรื่องงาน เขาอยากให้นัยน์ตาชั้นเดียวแสนเย็นชาของตนดูอ่อนโยนมากขึ้นสักนิด คงเพราะโยชิกิยังฝังใจเรื่องที่เคยเข้าไปช่วยเด็กหลงทางคนหนึ่งด้วยความ

เมตตา แต่เด็กน้อยกลับกลัวเขาจนร้องไห้จ้า

ทั้งที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่ตลอด แต่ก็ใช่ว่าบรรยากาศรอบตัวจะอ่อนโยนตามไปด้วย อีกทั้งการที่ไม่ยินดีกับฉายาเจ้าชายที่ได้รับก็เป็นเพราะในใจของเขาร่ําร้องปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้มีภาพลักษณ์สูงส่งแบบนั้นเลยสักนิด

ฉันว่าถ้าเป็นโยชิกิล่ะก็ อยากจะเปลี่ยนผู้ชายเมื่อไหร่ก็ทําได้

ก่อนหน้านี้ก็เคยพูดไปแล้วรอบหนึ่งนะ

อ้าว งั้นหรือ?”

โยชิกิส่งยิ้มให้โอนเนอร์ซึ่งแกล้งทําไม่รู้ไม่ชี้ อันที่จริงเขาก็อยากทําแบบนั้นบ้างเหมือนกัน การที่จริงจังไปหมดทุกเรื่องคงเป็นนิสัยติดตัวมา ตั้งแต่เกิด ถึงจะเหนื่อยหน่ายกับตัวเองที่เป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่อาจใช้ชีวิตอย่าง

ขอไปทีได้

...แต่คิดว่ายังไงก็ดีกว่าผู้ชายคนนั้นแน่ๆโยชิกิได้ฟังก็พึมพําอย่างเห็นด้วยพลางยิ้มขึ้น

"นั่นสินะ"

เพราะเข้าใจดี ถึงได้แยกทางกัน

แก้วค็อกเทลถูกยกขึ้นดื่มจนหมด ที่โยชิกิกําลังดื่มคือมิโมซ่า หากแต่ไม่ได้ผสมแอลกอฮอล์ลงไปด้วย

หลังจากคิดว่าได้เวลากลับแล้ว ขณะที่กําลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้นั้น ประตูหน้าร้านก็ถูกเปิดออก แม้จะไม่ได้คาดหวัง แต่ก็อดหันหน้าไปมองไม่ได้

ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลในบทสนทนาเมื่อกี้จะโผล่มาได้จังหวะพอดี ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในร้านด้วยชุดสูทเต็มยศแม้จะอยู่ในช่วงฤดูร้อน เป็นเงามืดในอดีตอันแสนคุ้นตาของโยชิกิ ชายผู้มาใหม่เดินมานั่งที่เก้าอี้ว่างข้าง ๆ แล้วจึงสั่งสติงเกอร์ เฉก

เช่นทุกที

รอนานหรือเปล่า?"

ปอยผมด้านหน้าที่ยาวเกะกะถูกเลยเก็บอย่างเรียบร้อย กลิ่นน้ําหอมที่โยชิกิจดจําได้เป็นอย่างดีโชยมาแตะจมูก

ตรงนี้

ไม่ได้นัดกันไว้นี่"

ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ลึกๆ ก็ยังคาดหวัง ดังนั้นเขาถึงได้อยู่

โยชิกิเอ่ยขอเครื่องดื่มแบบเดิมอีกแก้วกับโอนเนอร์

ไม่มีการพูดคุยระหว่างรอของที่สั่งไป ต่างฝ่ายต่างเงียบจนได้ยินเสียงเพลงเปิดคลอในร้านชัดเจนทุกเนื้อหา

(Mimosa เครื่องดื่มชนิดหนึ่ง ทําจากแชมเปญผสมน้ําส้ม Stinger ค็อกเทลที่ประกอบด้วยเมนทอลและบรั่นดี)

พอรับแก้วเครื่องดื่มมา โยชิกิก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่าขอดื่มล่ะนะแต่ กลับไม่มีอารมณ์อยากดื่มเลยแม้แต่น้อย

จะไม่เย็นชาไปหน่อยหรือ?"

ทั้งนิสัยชอบยกยิ้มแค่มุมปาก ทั้งการใช้ปลายนิ้วก้อยดันกรอบ แว่นให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งปอยผมด้านหน้าซึ่งผล็อยตกลงมา ไม่ว่าส่วนไหนก็ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่โยชิกคุ้นเคยดี ทั้งที่เป็นเช่นนั้น หัวใจก็ยังคงเต้นรัวแรงอย่าง ห้ามไม่ได้จนถึงกับต้องเบือนหน้าหนีเพื่อปกปิดความจริงข้อนี้

ไม่ว่าอายุจะเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ ใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

"ไม่นี่ พวกเราไม่ได้คบกันสักหน่อย

ผู้ชายคนนี้...ฮาระ ยูอิจิ เคยเป็นคนรักของโยชิกิมาก่อน ไม่ได้เป็นอีกแล้วในปัจจุบัน เป็นแค่อดีตเท่านั้น

"นั่นสินะ

ชายหนุ่มยกมือยักไหล่คล้ายจงใจให้เห็นแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายเป็นแหวนแพลทินัมสีเงินเรียบๆ ที่สามารถสวมใส่ติดตัวได้เป็นประจํา

และมันก็สมควรจะเป็นเช่นนั้นแน่นอนอยู่แล้ว เพราะสองปีมานี้  ฮาระสวมมันอยู่ตลอด

โยชิกิ

ฮาระเอื้อมมือมาทาบทับลงบนมือของโยชิกิข้างที่จับแก้วอยู่

คืนนี้จะเอายังไงดี?”

ร่างสูงมองสบตาพร้อมกับเอ่ยเชิญชวนอย่างเถรตรง โยชิก็รีบเบนสายตาหนีไปอีกทาง

ฉันขอปฏิเสธ

ถ้าอีกฝ่ายกลับบ้านไปก็ยังมีภรรยาเฝ้ารออยู่ เพราะฉะนั้นจะตอบรับคําชวนไม่ได้เด็ดขาด อย่างน้อยโยชิกิก็ยังมีคุณธรรมข้อนี้อยู่ในใจ

ถ้าแค่แวะไปที่บ้านล่ะ? ไม่ทําอะไรหรอกน่า สัญญาเลย"

เชื่อได้หรือ?”

โยชิกิถามพลางถอดแว่นออก ก่อนจะบรรจงเช็ดทําความสะอาด ด้วยผ้าเช็ดหน้าทั้งที่ตัวเลนส์ไม่ได้มัวจนเสียทัศนวิสัยแต่อย่างใด

การได้พบกับฮาระในชมรมสมัยมหาวิทยาลัยถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้

ในตอนนั้นโยชิกิยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร ก็ได้ฮาระคนนี้เป็นผู้สอนให้ ร้านนี้ก็เหมือนกัน เขามาที่นี่เพราะได้รับคําแนะนําจากฮาระ สําหรับโยชิกิแล้ว อีกฝ่ายถือเป็นคนพิเศษ

หากได้อยู่กับฮาระคนนี้ในห้องกันสองต่อสอง อย่างไรเสียก็ไม่มี ทางไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ไม่ใช่แค่ไม่เชื่อใจอีกฝ่าย แต่เขาไม่เชื่อใจตัวเองด้วยเหมือนกัน

การห่างเหินจากไออุ่นของใครบางคนมาเนิ่นนานนั้น แม้จะน่าเศร้า แต่ก็เป็นความจริง หากลองได้ทาบทับริมฝีปากกันสักครั้งหนึ่งแล้วก็ ย่อมต้องการบางอย่างที่มากกว่านั้น เขาคงไม่อาจหยุดยั้งตัวเองได้เป็นแน่

ทิฐิจังนะ

อีกฝ่ายวางมือลงบนบ่า ตั้งให้โยชิกิขยับเข้าไปใกล้ก่อนกระซิบถ้อยคําหวานหู

แต่ถึงยังไงฉันก็ชอบนิสัยแบบนั้นของนายอยู่ดี

ต้องใช้เหตุผลมากพอดูในการฝืนไม่ให้เผลอปล่อยใจไปตามคําหวานอันล่อลวงนั้น

พูดด้วยผิดคนแล้ว....จะว่าไป เดี๋ยวนี้นายยุ่งๆ หรือ?” โยชิกิรีบเปลี่ยนเรื่องคุยท่ามกลางความดึงดันของอีกฝ่ายซึ่ง

แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง

ครึ่งปีมานี้ ฮาระแวะเวียนมาที่ร้านน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

โยชิกิชักมือตัวเองออกมา แล้วเปลี่ยนมาเท้าคางกับเคาน์เตอร์แทน

ก็ใช่แหละ ตําแหน่งสูงขึ้นใช่ว่างานจะน้อยลงเสียเมื่อไหร่ มีแต่จะ เพิ่มความรับผิดชอบมากขึ้น

ฮาระทํางานในบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง สาเหตุที่แต่งงานก็เพื่อ รักษาหน้าตาทางสังคมอีกทั้งยังได้รับการแนะนํามาอีกที ถึงโยชิกิจะไม่รู้ราย ละเอียดเกี่ยวกับที่ทํางานของฮาระมากนัก แต่ก็เคยได้ยินอีกฝ่ายพูดทํานอง ว่าถ้าไม่แต่งงานสักครั้งจะค่อนข้างลําบาก

เมื่อเปรียบเทียบกับโยชิกิผู้ทํางานอยู่ในแวดวงธุรกิจซึ่งมีแต่คนโสดเป็นส่วนใหญ่แล้ว จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจถึงความจําเป็นของฮาระเท่าไหร่นัก

เขาไปงานแต่งของฮาระในฐานะเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเจ้าบ่าว กระทั่งกล่าวสุนทรพจน์ในงานก็ทํามาแล้ว ฝ่ายเจ้าสาวเป็นเพื่อนร่วมงานผู้สวยงามโดดเด่น

ช่วยอดทนสักสามปีเถอะ เลิกกันชั่วคราวก่อน หลังจากนั้นฉันจะกลับมาหานาย

ฮาระพูดเช่นนั้นในคืนแจ้งข่าวแต่งงาน แน่นอนว่าโยชิกิไม่มีทาง เชื่อคําพูดเอาแต่ได้แบบนั้นแล้วรออีกฝ่ายอย่างเชื่อฟังแน่ๆ แต่ทว่า....

ตั้งแต่เลิกกัน เขาก็อยู่คนเดียวมาตลอดโดยไม่มีคนรักใหม่อีกเลย ระหว่างนั้นก็ถูกย้ายงานมาเป็นตําแหน่งปัจจุบัน มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น การได้ทุ่มเทเวลาให้กับงานและใส่ใจอย่างรอบคอบนั้นทําให้โยชิกิลืมความโดดเดี่ยวที่ต้องเผชิญไปได้

ฮาระเป็นผู้ชายคนเดียวที่เขารู้จัก อีกทั้งไม่เคยคิดจะไปคบหาใคร อื่นอีก โยชิกิรู้ตัวดีว่าตนเป็นคนประเภทเมื่อรักแล้วจะยึดติด ไม่ว่าอย่างไรก็ ขอให้ได้เจอหน้ากันนานๆ ครั้งก็ยังดี

เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น เมื่อฮาระหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดบุหรี่ เปลี่ยนดีไซน์แพ็กเกจอย่างนั้นหรือ พอมองซองบุหรี่แล้วโยชิกิก็จําได้ หากคนไม่สูบบุหรี่หรือไม่ได้ใกล้ชิดคุ้นเคยกับผู้สูบแล้วล่ะก็ คงไม่มีทางสังเกตเรื่องยิบย่อยนั้นได้

โยชิกิ

ฮาระหรี่ตามองขณะเอื้อมมือมาวางบนตักของโยชิกิ

นายชอบฉันไหม?”

ช่างเป็นคําถามที่แสดงความโอหังเหลือเกิน ควันสีเทาจางๆ ของบุหรี่ลอยมาทําให้โยชิกิระคายเคืองตา

ทําไมถึงถามแบบนั้น?"

ภายในหัวคล้ายจะเห็นภาพตัวเองพยักหน้ายอมรับและเอาแต่พูดว่ายังชอบฮาระอยู่ ทั้งเสียงทุ้มนั่นก็ดี ปลายนิ้วเรียวนั่นก็ดี ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจลืมได้ลง

ทว่าจะปล่อยให้คําพูดนั้นหลุดออกมาไม่ได้เด็ดขาด จะพูดเรื่อง แบบนั้นกับผู้ชายที่เลิกรากันไปแล้วได้อย่างไร ตอนนี้อีกฝ่ายมีภรรยาเป็นตัว เป็นตนอยู่แล้ว พูดไปก็ไม่มีประโยชน์

ฉันไม่สบายใจเลย ไม่รู้ว่านายกําลังรอฉันอยู่หรือเปล่า?” ทั้งที่ปกติฮาระจะเอาแต่ดื้อดึงเชื่อมั่นในตัวเองอยู่ตลอด จะมีก็แต่เวลาแบบนี้เท่านั้นที่อีกฝ่ายจะพูดเรื่องไม่สบายใจออกมา

ช่างเป็นผู้ชายที่ขี้ขลาดเสียจริง

อาจจะไม่รอแล้ว"

การพูดแบบนี้คล้ายเป็นการยอมรับกลายๆ ว่าเขากําลังรออยู่มิใช่หรือ โยชิกิปวดเศียรเวียนเกล้ากับคําตอบของตัวเอง น่ากลัวว่าคงดื่มมากเกินไปแล้วกระมัง

แบบนั้นก็แย่สิ

ฮาระขยับแขนมากุมมือโยชิกิทันที มือใหญ่ยังคงหยาบกร้านเหมือนเดิมดังเช่นภาพในความทรงจํา

รออีกหน่อยสิ สัญญากันไว้แล้วนี่

โยชิกินึกอยากจะตอกกลับไปว่า จําไม่เห็นได้ว่าเคยสัญญาแบบนั้น แต่สิ่งที่ฮาระมอบให้...วางอยู่ในห้อง....คือหลักฐานของสัญญานั้น... ทําให้เขายังคงรออีกฝ่ายเสมอมา

สัญญาอะไรกัน ไม่เห็นรู้เรื่องเลย

ทั้งที่ตั้งใจจะเบี่ยงประเด็น แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับสั่นเครือคิดจะแกล้งทําเป็นลืมงั้นหรือ?”

ความจริงแล้วโยชิกิไม่เคยลืม เหลืออีกแค่หนึ่งปีเท่านั้น นาฬิกา นับถอยหลังในใจของเขายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ

น่าเศร้าใจจริงๆ ทั้งที่ฉันชอบโยชิกิมาตลอดแท้ๆ

โยชิกิเผลอตัวเคลิ้มไปกับถ้อยคําหวาน อาจเป็นเพราะห่างเหิน

กับสิ่งนั้นมานานแล้วกระมัง ตอนยังคบกันไม่เคยเห็นอีกฝ่ายจะหยอดคําพูด หวานหูให้รู้สึกดีเช่นนี้เลยสักครั้ง แม้ใจจริงจะอยากพ่นคําด่าออกไปมากแค่ไหนก็ทําไม่ได้

ความจริงแล้วเขานึกอยากสัมผัส อยากกอด อยากถูกโอบกอดด้วยอ้อมแขนนั้นมาตลอด

การปิดกั้นความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาอย่างท่วมท้นนี้ช่างยากเย็นเหลือเกิน

อย่าเงียบสิ

หลังจากเอ่ยวาจาอ่อนโยนให้โยชิกิคาดหวังอย่างโหดร้าย ฮาระก็จะกล่าวว่าตัวเองไม่ผิด และเอาแต่เรียกร้องจนกว่าตัวเองจะพอใจอยู่อย่างนั้น

***************************************

copyright © . all rights reserved. designed by Color and Code

grid layout coding by helpblogger.com