Chocolatier's Love บทที่2

 

เช้าวันต่อมา โยชิกิตื่นนอนในเวลาเดียวกับทุกวัน แม้จะเป็นวัน หยุดก็ยังตื่นไวจนนึกเสียดายเวลานอน ถึงจะบ่นกับตัวเองว่าต่อให้ตื่นตั้งแต่ เจ็ดโมงครึ่งก็ไม่มีอะไรให้ทําอยู่ดี แต่ก็ยันร่างลุกจากเตียงนุ่มโดยไม่คิดจะล้มตัวนอนต่อ

มื้อเช้าเป็นขนมปังปิ้งทาแยมและชาร้อนหนึ่งแก้วเหมือนกับวันอื่นๆ หากเป็นวันทํางาน ป่านนี้เขาคงจะกําลังรีบกินมื้อเช้าให้เสร็จ แล้วก็รีบแปรงฟันไปทํางานแล้ว

แต่เพราะวันนี้ไม่จําเป็นต้องรีบ จึงทําให้บางอย่างในใจของเขาแปรปรวนไม่ปกติ

ตอนนี้ฮาระจะทําอะไรอยู่นะ....บ้าจริง ดันเผลอคิดถึงฝ่ายนั้นไปเสียได้ คงเป็นเพราะเอาแก้วที่ฮาระเคยใช้สมัยคบกันมาใช้ดื่มชากระมัง

มันไม่ใช่แก้วที่ดีเลิศแต่อย่างใด เป็นแค่ของแถมจากการซื้ออะไรสักอย่าง ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่แก้วใบนี้กลายเป็นแก้วประจําตัวของฮาระ ถ้าเกิดมีรอยบินขึ้นมาก็ตั้งใจว่าจะทิ้งไปเสีย เขาเคยคิดแบบนั้น แต่ก็ยังหยิบมันมาใช้ทุกวัน แม้จะมีรอยร้าวปรากฏ แต่แก้วใบนี้ก็ยังทนทานไม่ยอมแตกสักที

ด้านนอกฝนโปรยลงมาแล้ว เป็นสภาพอากาศที่ไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย วันฝนตกแบบนี้ยอดขายขนมแบบตะวันตกจะลดลงมาก โดยเฉพาะขนมจําพวกเค้กสีสวยที่แต่งหน้าด้วยครีมสด ยอดขายจะลดไปถึงครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว เนื่องจากการถือกล่องเค้กขณะกางร่มไปด้วยนั้นเป็นเรื่องลําบาก

โยชิกิถอนหายใจ ถึงตอนนี้เขาจะไม่ได้รับผิดชอบขนมตะวันตกแล้ว แต่ก็ยังเผลอคิดถึงด้วยความเคยชิน

ชายหนุ่มไม่ค่อยถูกกับอากาศช่วงรอยต่อระหว่างฤดูฝนกับฤดูร้อนเท่าไหร่ เพราะมันทําให้รู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก และเวลาแบบนี้เขาก็ ทําอะไรไม่ได้นอกจากใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพียงลําพัง

โยชิกิเปิดโทรทัศน์หมายจะดูอะไรให้รู้สึกร่าเริงขึ้น สายตาของเขา จ้องมองรายการถามตอบปัญหาเกี่ยวกับการหย่าร้างในจออย่างเหม่อลอย

สาเหตุของการหย่าร้างคือ ฝ่ายชายนอกใจ เป็นประเด็นซึ่งเกิดขึ้นบ่อยจนเป็นปกติ แถมยังสอดคล้องกับเรื่องของฮาระอีก โยชิกิเหม่อลอยขณะคิดตาม

เขานึกสงสัยว่าฮาระจะหาเหตุผลบอกเลิกกับภรรยาอย่างไร เนื่องจากอีกฝ่ายไม่เคยเล่ารายละเอียดใดๆ ให้ฟัง แล้วทางเขาเองก็ไม่อยาก ให้ฝ่ายนั้นคิดว่ากําลังรอคอยอยู่ จึงไม่เคยถาม สิ่งที่โยชิกิทําได้ในตอนนี้มีแค่ รอให้เวลาผ่านไปจนครบสามปีเท่านั้น

การใช้ชีวิตที่ต้องเฝ้ารอชายคนรักหย่าร้างกับภรรยาเพื่อกลับมาหาตน มันดีจริงๆ หรือ

โยชิกิคิดแล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง สมัยที่ยังคบกับฮาระทุกวันของเขานั้นแสนสนุกสนาน

ทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว ไม่ว่าเรื่องไหนๆ ก็ดําเนินไปด้วยดี ทั้งหมด เมื่อเทียบกับการใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ เช่นในตอนนี้แล้ว ชีวิตของเขา เหมือนดังสภาพอากาศที่แสนเฉื่อยชาภายนอก

โยชิกิตระหนักถึงรสนิยมทางเพศของตนเองตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย เพราะแอบตกหลุมรักรุ่นพี่ในชมรมกรีฑาที่ตนสังกัดอยู่

รุ่นพี่คนนั้นร่างกายสูงใหญ่กํายํา มีกล้ามเนื้อ รูปร่างดีจากการฝึกฝน และเป็นรุ่นพี่ที่แสนอ่อนโยนใจดี ทั้งสองมักมีโอกาสได้ช่วยวอร์มอัพให้ กันบ่อยๆ แต่ละครั้งที่รุ่นพี่วางมือลงบนแผ่นหลัง เขาจะหวั่นไหวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ตลอด

ตอนนั้นโยชิกิเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ เขาโอบกอดความ สงสัยและความคับข้องใจเรื่อยมาจวบจนกระทั่งวันหนึ่ง ในระหว่างฝึกเขาถูกรุ่นพี่ติเตียนว่าเหวี่ยงแขนผิดฟอร์ม

"นายต้องทําแบบนี้ต่างหาก"

รุ่นพี่ช่วยแก้ไขท่าที่ผิดโดยการโอบจากด้านหลัง ลมหายใจอุ่นร้อนรินรดข้างใบหู เป็นผลให้โยชิกิรู้สึกพลุ่งพล่าน

เขากําลังเกิดอารมณ์ทางเพศและปั่นป่วนจากการรุมเร้าของความต้องการอันแรงกล้าเป็นครั้งแรก ในตอนนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพยายามทําให้ความร้อนรุ่มซึ่งวิ่งพล่านไปทั่วกายนี้สงบลงให้ได้เสียก่อน ทั้งที่รุ่นพี่ อุตส่าห์ช่วยสอนให้ แต่เขากลับไม่หลงเหลือคําแนะนําใดๆ ในสมองเลย

ทว่าหลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ยังคงเหมือนเดิม ดังนั้นโยชิกิจึงคิดว่ามันคงเป็นแค่ความหลงผิดซึ่งเกิดขึ้นได้ในช่วงวัยรุ่น

เขาเคยคบกับผู้หญิงมาแล้ว แม้ช่วงคบกันจะสุขสโมสร แต่ความ จริงสําหรับโยชิกิแล้วจะมีแฟนหรือไม่มีก็ไม่ต่างกัน เขาไม่ได้นึกชื่นชอบใคร เป็นพิเศษ จึงไม่มีทั้งฝ่ายถูกทิ้งหรือฝ่ายไล่ตาม

หลังจากนั้นก็ได้พบฮาระในมหาวิทยาลัย ฝ่ายนั้นเรียนที่โรงเรียน เตรียมของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ตั้งแต่มัธยมต้น เป็นคนที่มีตัวตนอยู่ในโลกซึ่ง โยชิกิไม่เคยรู้จัก หากไม่ได้นั่งข้างกันในวิชาบังคับแล้ว โยชิกิก็คงไม่ได้เป็น เพื่อนกับฮาระแน่นอน เพราะนอกจากเรื่องนั้นแล้วทั้งสองก็ไม่มีสิ่งใดเชื่อม โยงถึงกันเลย

จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเกิดจากการยืมสมุดโน้ต ใบหน้าหล่อคมเข้มของฮาระยิ้มตอบกลับมาขณะเอ่ยคําว่า

ขอบคุณ ทําให้ภาพลักษณ์แสนจะเป็นผู้ใหญ่ของอีกฝ่ายฉายชัดในดวงตา ของโยชิกิ

จากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มพูดคุยกันมากขึ้น โยชิกิได้รู้ว่าฮาระเป็นคน

ทะเยอทะยาน แยกของชอบกับของไม่ชอบออกจากกันอย่างชัดเจน และยังมี ความเป็นผู้นําสูง ฮาระจะชอบยืนอยู่หัวแถวเสมอ

ด้วยเหตุนั้น โยชิกิจึงถูกผู้ชายในแบบที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ดึงดูดอย่างง่ายดาย ทว่าตอนนั้นเขายังไม่อาจจําแนกรูปแบบความรักได้เนื่องจากมีประสบการณ์ในด้านนี้ไม่มากพอ ขณะที่ยังแยกแยะความต่าง ระหว่างมิตรภาพไม่ได้นั้น โยชิกิปรารถนาเพียงแค่ได้อยู่ด้วยกันกับฮาระ อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็พอ

เพราะได้อยู่กับฮาระ โยชิกิจึงได้มีความทรงจําดีๆ มากมาย เขามี เพื่อนเพิ่มมากขึ้นและแต่ละวันก็เต็มไปด้วยความสนุกสนาน

ครั้งแรกที่โยชิกิกับฮาระมีอะไรกันเป็นคืนวันฝนพรํา

ฮาระมาเที่ยวบ้านของโยชิกิและบ่นว่าฝนตก ขี้เกียจกลับบ้าน จึง ขอค้างคืนที่บ้านและโยชิกิก็ตกลง ด้วยเพราะคิดจะยึดเวลาอยู่ด้วยกันให้ นานขึ้นเหมือนอย่างทุกที อีกทั้งบ้านซึ่งมีแค่โยชิกิอาศัยอยู่คนเดียวนี้ก็อยู่ใกล้ มหาวิทยาลัย สมัยนั้นเลยมีเพื่อนมาขอค้างคืนอยู่ไม่น้อย

วันนั้นโยชิกิอยู่กับฮาระสองต่อสอง ภายในบ้านปิดหน้าต่างไว้ อากาศเลยไม่ถ่ายเทเท่าที่ควร สถานที่นอนคือห้องใต้หลังคาแคบๆ เมื่อปิด ไฟเรียบร้อย ทุกอย่างก็เข้าสู่ความมืด โยชิกิรู้สึกได้ถึงลมหายใจของฮาระซึ่ง อยู่ไม่ห่างได้ในทันที

เพราะมีฮาระนอนอยู่ข้างๆ หัวใจของโยชิกิจึงเต้นโครมครามจนไม่มีทีท่าว่าจะหลับลง

ในตอนนั้นเองโยชิกิพลันรู้สึกตัวว่าเขาไม่ได้ชอบฮาระแบบเพื่อน

แต่ชอบแบบคนรักต่างหาก

เมื่อรับรู้ถึงจิตใจตัวเอง ร่างกายก็เกิดร้อนรุ่มขึ้นมา เขาจึงพยายาม พลิกตัวไปอีกข้างเพื่อเว้นระยะห่าง แต่ถึงจะหันหลังให้ก็แทบไม่ได้ช่วยอะไรเลย

และจากนั้น...

"โยชิกิ

มือของฮาระยื่นมาสะกิดถามว่าตื่นอยู่หรือไม่ โยชิกิพยักหน้ารัวๆ แทนคําตอบทั้งที่ในห้องมืดจนมองอะไรไม่เห็น

"ฉันสนใจนายมาตลอดเลยนะ"

ขณะที่เขายังไม่ทันทําความเข้าใจกับความหมายของคําพูดนั้นฮาระก็คว้าจับที่ไหล่ ซ้ํายังรั้งกอดจนแน่นจากข้างหลัง ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือความสบายใจ

โยชิกิชอบความรู้สึกนี้ เขาไม่ได้อยากเป็นฝ่ายกอดใคร เพียงแค่ อยากเป็นฝ่ายถูกกอดเอาไว้แน่นๆ วินาทีนั้นเขาได้ประจักษ์ถึงสิ่งที่เฝ้าใฝ่หามาตลอด

ไม่ชอบที่ฉันทําแบบนี้หรือ?"

ริมฝีปากกดลงมาบนต้นคอขาว เส้นผมที่เริ่มยาวของฮาระตกลู่ลง มาคลอเคลียผิวกายของโยชิกิซึ่งยังอยู่ในอ้อมกอด

"...ไม่ได้ไม่ชอบ"

ผู้ชายที่แอบชอบกําลังสัมผัสร่างกายเขาอยู่ จะไม่ชอบได้อย่างไร

ถ้าอย่างนั้น...ได้ไหม?"

มือของฮาระลูบไล้จากไหล่ลงไปยังสะโพก สัมผัสเบาบางของนิ้ว เริ่มออกแรงกด ริมฝีปากพลันทาบทับกันแนบสนิท

ลิ้นหนารุกรานเข้ามาไล้เลียจนทั่วโพรงปาก ไม่รู้ตัวเลยว่าเสื้อผ้า ถูกถอดออกไปตอนไหน ต้นขาทั้งสองแยกออกจากกัน ฮาระกอบกุมส่วนอ่อนไหวของโยชิกิไว้อย่างไม่ลังเล

ปลายนิ้วของฮาระสัมผัสรูดรั้งตรงๆ เพราะเป็นผู้ชายเหมือนกันจึง รู้ดีว่าปลุกเร้าตรงจุดไหนถึงจะทําให้รู้สึกดี พอโยชิกิรู้ตัวอีกที ส่วนนั้นก็เปียกแฉะอย่างไร้ยางอายไปเสียแล้ว

ท่าทางจะรู้สึกดีนะ

"...อีก ไม่"

สีหน้าเขินอายปรากฏขึ้นในฉับพลันจนต้องยกแขนปิดหน้า เพียง แค่คิดว่าตอนนี้ตนกําลังทําหน้าเคลิบเคลิ้มสุดๆ อยู่ โยชิกิก็แทบน้ําตาไหลด้วยความอับอาย

"ไม่ต้องอายหรอก"

ฮาระว่าก่อนจะหัวเราะแผ่วเบา

อ๊ะ!"

จากนั้นโยชิกิสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่เปียกชื้นแตะลงบนส่วนกลางกาย ทําให้ต้องก้มลงไปมองอย่างกล้าๆ กลัวๆ ฮาระกําลังรับเอาส่วนตั้งชัน ของเขาเข้าไปในโพรงปาก ถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ได้เห็นภาพอันแสนหยาบโลนเช่นนี้ โยชิกิแทบไม่อยากเชื่อว่าเขากําลังจะถูกอีกฝ่ายกลืนกิน

ส่วนอ่อนไหวผลุบหายเข้าไปในปากของฮาระจนสุดลําคอก่อนลิ้นชื้นแฉะจะเริ่มปรนเปรอความสุขให้ แม้โยชิกิจะตกใจจนเกือบขยับสะโพกหนี แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่ยอมถอนลิ้นออกไป

"อ๊า"

สะโพกมนสั่นไหวตามแรงดูดดุนที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนปลายที่ฉ่ำเยิ้มถูกครอบครองซ้ําๆ ทําให้ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวจนไม่อาจจําแนกได้ว่ากําลังรู้สึกดีอยู่หรือไม่กันแน่

กลุ่มเส้นผมบนศีรษะซึ่งคลอเคลียบริเวณสะโพกขยับไปมา ความอุ่นชื้นเปียกแฉะในโพรงปากสอนให้เขาได้รู้จักความสุขสมจนลืมสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง

เขาถูกดึงเข้าไปในโลกที่ทําได้แค่ส่งเสียงร้องครวญครางเรื่อยๆเพียงอย่างเดียว หมกมุ่นอยู่กับความรู้สึกนั้นเสียจนเปล่งเสียงที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ออกมา โยชิกิฝังหน้ากัดหมอนใบนุ่มเพื่อระบายความอึดอัด

“...ผ่อนแรงลงหน่อย

ฮาระว่าก่อนจะแทรกกายเข้ามาในร่าง ความเจ็บปวดและความรู้สึกต่อต้านอย่างรุนแรงแล่นไปทั่วเมื่อช่องทางเบื้องหลังถูกแยกออกกว้าง ทว่าไม่นานก็พ่ายแพ้ให้กับความสุขสมในที่สุด

เขารู้สึกดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อถูกปรนเปรอทั้งด้านหน้าและด้านหลัง โยชิกิก็ปลดปล่อยออกมาหลายต่อหลายครั้งอย่างไม่อาจต้านทาน ได้ สุดท้ายก็หมดสิ้นเรี่ยวแรงทําได้แค่เสพสมความหฤหรรษ์ต่อไปเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

โยชิกิตื่นเต้นเมื่อเห็นภาพของฮาระหอบหายใจถี่รัวอยู่บนร่างตัวเองขณะขยับสะโพกด้วยสีหน้าคล้ายกําลังทรมาน และในวินาทีนั่นเองฮาระ ก็ปลดปล่อยความสุขเข้ามาในส่วนลึกที่สุด ภาพนั้นทําให้ความปิติยินดีของ

โยชิกิแทบจะระเบิดออกมา

 ถึงจะเจ็บก็ไม่เป็นไร เขามีความสุขเหลือเกิน

ตั้งแต่นั้นมา พวกเขาก็มีเซ็กส์ราวกับสัตว์ป่าทุกวัน การที่ฮาระ มาบ้านของโยชิกิหลังเลิกเรียนหรือเลิกจากงานพิเศษกลายเป็นเรื่องปกติ

โยชิกิไม่เคยรู้จักความหฤหรรษ์เช่นนี้จึงโอนอ่อนคล้อยตามในไม่ช้า ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หากอีกฝ่ายต้องการเขาก็พร้อมจะตอบสนอง ไม่ว่าอะไร ก็ทําได้ เป็นภาพความทรงจําที่ค่อนข้างผิดแปลกไปจากปกติ

หลังจากเรียนจบในระดับมหาวิทยาลัย ทั้งคู่ก็ทํางานคนละที่และ มีวันหยุดไม่ตรงกัน โยชิกินั้นหยุดวันธรรมดา ส่วนฮาระหยุดวันเสาร์ ทําให้ทั้ง สองเจอกันน้อยลง นานๆ ครั้งหากได้หยุดตรงกัน ทั้งคู่จะมาค้างที่บ้านของ โยชิกิและใช้เวลาหมดไปกับการทําแต่เรื่องไร้ยางอายเพียงอย่างเดียว

แม้จะเป็นแบบนั้น แต่การทํางานก็สนุกราบรื่นดี แค่ได้ส่งอีเมล โต้ตอบกันบ้างเขาก็พอใจแล้ว เรื่องอนาคตเป็นความไม่แน่นอนซึ่งโยชิกิไม่เคยนึกถึง

เขาเคยเชื่ออย่างไม่มีเหตุผลว่าชีวิตเช่นนี้จะดําเนินต่อไปเรื่อยๆจนถึงตอนนี้ถึงเพิ่งรู้สึกว่าความคิดนี้มันช่างโง่เง่าจริงๆ

ฉันจะแต่งงาน...

โยชิกิยังจําได้ดีถึงวันที่ฮาระเอ่ยถึงเรื่องนั้น เป็นเช้าหลังตื่นจากนิทราที่พวกเขาต่างนอนเกยกอดกันดังเช่นเคย

"แต่งงานหรือ?”

ฮาระซึ่งกําลังจิบชาหันมาส่งยิ้มให้โยชิกิผู้นิ่งงันไป

ใช่ แต่งสักสามปีก็พอ แล้วค่อยหย่าหลังจากนั้น เป็นแผนที่ดีใช้ได้เลยว่าไหม?"

อีกฝ่ายเอ่ยอย่างไม่ทุกข์ร้อน แต่สําหรับโยชิกิแล้วมันเป็นประโยคที่ทําให้ภาพเบื้องหน้าแทบมีดดับลง

“...แล้วคนที่นายจะแต่งด้วยล่ะ?” คําถามส่งกลับไปมีเพียงเท่านั้น

เป็นเพื่อนในที่ทํางานเดียวกัน น่าจะไปกันได้ดี

จากนั้นก็พูดต่ออย่างหน้าตาเฉยว่าจะแนะนําให้โยชิกิรู้จัก จะแนะนําอย่างไร บอกว่าเป็นเพื่อนหรือ ทั้งที่คบกันมาถึงขั้นนี้ตั้งหลายปีแล้วเนี่ยนะ

โยชิกิพยายามฝืนทําสีหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไรพลางจิบชาในมือ แต่ลิ้นกลับไม่รับรู้รสชาอีกแล้ว เขารู้สึกแค่มีของเหลวอุ่นๆ ไหลผ่านลําคอลงไปเท่านั้น

นายชอบฉันใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหา

ฮาระเป็นเช่นนี้เสมอ ไม่เคยคิดว่าโยชิกิจะปฏิเสธตัวเองเลยสักครั้ง

เดี๋ยวเราก็มาเจอกันบ้างนานๆ ที ถ้าเป็นที่บ้านนายจะให้ฉันค้างคืนด้วยก็ยังได้"

ท้ายที่สุดแล้วเรื่องก็เป็นไปตามนั้น โยชิกิไม่อาจปฏิเสธการกระทําอันเห็นแก่ตัวของอีกฝ่ายได้เหมือนเคย

การคบกับชายผู้ที่กําลังจะแต่งงานถือเป็นเรื่องผิดศีลธรรม และยังเสียมารยาทกับคนที่จะมาเป็นภรรยาด้วย

โยชิกินึกภาพชีวิตที่ปราศจากฮาระไม่ออก เขารู้สึกกลัว แต่ก็ไม่ อาจยึดติดกับชายผู้ทิ้งเขาไปอย่างไม่ทุกข์ร้อนได้เลยแม้แต่น้อย ขณะที่กําลังสับสน ปากก็เอื้อนเอ่ยคําพูดออกมา

เราเลิกกันเถอะ"

โยชิกิชิงพูดก่อนเพราะศักดิ์ศรีค้ําคอ เขาไม่อยากเห็นฮาระใช้ ชีวิตอยู่ร่วมกับใครคนอื่น เหนือสิ่งอื่นใดคือความเจ็บใจที่จู่ๆ อีกฝ่ายก็ตกลงแต่งงานโดยไม่เคยบอกหรือปรึกษากันเลยสักค้า

ฮาระพยักหน้ารับสบายๆ

เข้าใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็เลิกกันสักสามปีนะ

ฮาระยังคงมั่นใจว่าตัวเองนั้นไม่ผิดอะไรเลย โยชิกิเวียนหัวกับท่าทางที่ไม่เคยเปลี่ยนไปของอีกฝ่ายขึ้นมาทันที ดูท่าแล้วฮาระคงไม่สํานึก แม้แต่น้อยว่าได้ทําให้คนรักที่คบกันมานานต้องชอกช้ําใจ

การเป็นคนมองโลกในแง่ดีถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเจ้าตัวก็จริงแต่แบบนี้มันมากเกินไปแล้ว

ช่วยรอฉันสักสามปีนะ"

โยชิกิไม่ตอบอะไร เขาสับสนจนไม่อาจให้สัญญาใดๆ ได้

ถ้าอย่างนั้น ฉันเอาไอ้นี่วางไว้ตรงนี้นะ

เสื้อผ้าสําหรับเปลี่ยน แปรงสีฟัน และข้าวของส่วนตัวของฮาระถูก เก็บใส่รวมไว้ในถุงกระดาษเพื่อนํากลับ ฮาระถอดนาฬิกาข้อมือทิ้งไว้ให้เป็นที่ระลึก ทั้งที่มันเป็นของซึ่งชายหนุ่มให้ความสําคัญเป็นพิเศษมาตลอด

ของแบบนั้นฉันไม่ต้องการ...

ฮาระไม่สนใจเมื่อโยชิกิยืนกรานปฏิเสธ จัดการถอดนาฬิกาข้อมือแสนรักวางไว้บนชั้นวางรองเท้า

ฉันให้สัญญาแล้ว เพราะฉะนั้นสามปีหลังจากนี้ฉันจะมารับ จนกว่าจะถึงตอนนั้นนายช่วยรอก่อนนะ

ช่างเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัว แต่โยชิกิที่ยังยอมรับจุมพิตจากคนแบบ นั้นก็คงเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากคนงี่เง่าไร้สติ

ฮาระเป็นคนประเภทไม่ว่าเรื่องอะไรก็เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางตลอด เรื่องนั้นโยชิก็รู้ดีอยู่เต็มอก การที่อีกฝ่ายทําแบบนี้เหมือนมองว่าเขา เป็นของตาย สุดท้ายแล้วคนที่ต้องเจ็บปวดก็คือตัวเขาเอง

ต้องรีบๆ ลืมผู้ชายพรรค์นั้น สัญญาอะไรนั่นเขาก็ไม่ได้รับปากว่าจะรอ โยชิกิสาบานต่อหน้าบานประตูหลังจากฮาระออกไป

ทว่าตั้งแต่วันนั้น เขาก็ยังคงไม่อาจก้าวผ่านมันไปได้

**************************************

Chocolatier's Love บทที่1

Chocolatier's Love

 

เสียงดนตรีซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกเวลาสิบนาฬิกาดังขึ้น ทําให้เสียงจ้อกแจ้กจอแจในชั้นอาคารนั้นเงียบลงชั่วขณะ ลูกค้ารายแรกของวันก้าวขึ้นบันไดเลื่อนมาเยือน

ยินดีต้อนรับครับ"

เซโนะ โยชิกิ แย้มยิ้มพลางก้มศีรษะอย่างนอบน้อมได้องศาสวยงาม

หนึ่งในหน้าที่ประจําของเขาคือต้องยืนรอต้อนรับลูกค้าตลอดสิบนาทีแรกหลังจากเปิดห้างทุกวัน ช่วงแรกๆ ชายหนุ่มมักจะทําแว่นเลื่อนหลุด จากใบหน้าอยู่หลายครั้ง แต่ตอนนี้เขาสามารถ กล่าวทักทายไปพร้อมกับ ก้มหัวได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐาน

ช่วงเจ็ดปีที่ทํางานนี้ โยชิกิต้องต้อนรับลูกค้าแบบนี้เกือบทุกเช้า

ยินดีต้อนรับครับ

จังหวะที่กําลังเงยหน้าขึ้นก็เห็น อุจิมุระ รุ่นน้องที่อยู่ข้างๆ ขยับร่างกายยุกยิกอยู่ตลอดซึ่งถือเป็นข้อเสีย เขาเคยเอ่ยเตือนไปหลายครั้งแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่เคยปรับปรุงตัวเลย ไม่เข้าใจว่าทําไมถึงอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ แค่สิบนาทีเท่านั่นเอง

เดี๋ยวคงต้องตักเตือนทีหลังอีกรอบ โยชิกิคิดก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาคลี่ยิ้ม ซึ่งทําจนติดเป็นนิสัย

รับรองลูกค้าด้วยความจริงใจเป็นคติของห้างสรรพสินค้าไคโต เฉพาะเวลานี้เท่านั้นที่โยชิกิจะได้พบกับลูกค้าโดยตรง เขาจึงค้อมศีรษะลงด้วยเคารพจากใจ

สัปดาห์นี้ ตรงลานกิจกรรมมีการจัดแสดงสินค้าจากฮอกไกโด

การช่วยงานจิปาถะตามบูธขายของและการจัดโซนพื้นที่ศูนย์อาหารเป็น หน้าที่ของโยชิกิซึ่งทํางานในแผนกส่งเสริมการขายอาหารของห้างแห่งนี้

สินค้าจากฮอกไกโดได้รับความนิยมตามที่คาดไว้ แม้จะเป็นช่วง เช้าของวันธรรมดา แต่เผลอแป๊บเดียวผู้คนก็แห่มากันอย่างคับคั่ง มากกว่า ช่วงเวลาปกติเป็นเท่าตัว บริเวณหน้าบูธของร้านชื่อดังแทบจะต้องต่อแถวรอ ชื่อสินค้ากันเลยทีเดียว

เนื่องจากแผนงานนี้ไม่มีเอกลักษณ์เฉพาะของห้าง หากมีบางคนรู้สึกคล้ายในงานขาดอะไรไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

หลังจบการกล่าวทักทาย โยชิกิตั้งใจจะกลับเข้าไปยังสํานักงาน ตอนนั่นเองคนจากร้านค้าหลากหลายก็ส่งเสียงเรียกเขา

คุณเซโนะ ช่วยแวะตรงนี้ด้วยนะ มีของอยากให้ดูหน่อย

ครับ เดี่ยวไปนะครับ

เมื่อตอบกลับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มก็มีเสียงเรียกจากอีกด้านมาทางนี้ด้วยนะ แล้วก็...ลองชิมนี่ดูสิ

แพ็กขนมไดฟุกุไส้ถั่วถูกยื่นมาให้ สิ่งนี้เป็นสินค้าจากร้านซึ่งขึ้นชื่อในการใช้ถั่วแดงเป็นวัตถุดิบ

ขอบคุณมากครับ"

เมื่อมองดูจนแน่ใจว่ารอบๆ ไม่มีใครแล้วจึงรับของกํานัลมา ความจริงแล้วการรับสินค้าที่จะนํามาวางขายเป็นเรื่องไม่สมควร แต่เพราะโยชิกิยึด หลักการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับร้านค้าเป็นสําคัญ เนื่องจากฝ่ายที่จะได้พบปะ กับลูกค้าโดยตรงก็คือร้านค้าเหล่านี้ เขาจึงพยายามสร้างบรรยากาศดีๆ ให้ ทุกคนทํางานกันอย่างมีความสุข

ตอนจะกลับเข้าไปยังพื้นที่สําหรับพนักงาน โยชิกิก็ไม่ลืมก้มศีรษะให้เหล่าผู้ค้าทั้งหลาย

สมแล้วที่เป็นเจ้าชาย แตกต่างกันมากจริงๆ"

พอเข้ามาในส่วนของพนักงาน อุจิมุระซึ่งอยู่ด้านหลังก็พูดขึ้น พลางมองแพ็กไดฟุกอย่างชื่นชม

พอเถอะ น่าอายออก

เจ้าชายแห่งไคโต' เป็นฉายาของโยชิกิ

หลายปีก่อน โยชิกิได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นหัวหน้ารับผิด ชอบงานฝ่ายศูนย์อาหาร ในช่วงเวลาเดียวกันก็มีค จากนิตยสารมาเก็บ ข้อมูลไปเขียนคอลัมน์ และได้ตั้งฉายานี้ให้เขาตามใจชอบโดยไม่ถามความสมัครใจสักคำ

หลังจากนั้นไม่นาน ฉายาแสนน่าอายนี้ก็รู้กันทั่วในวงกว้าง แต่ละ คนต่างเรียกกันอย่างชอบใจ แม้โยชิกิจะคิดว่ามันเป็นฉายาที่ไม่เหมาะกับ ผู้ชายอายุจะขึ้นเลขสามในปีหน้าเลย แต่ดูเหมือนนั่นจะกลายเป็นชื่อเฉพาะ ของเขาภายในห้างนี้ไปเสียแล้ว

ไม่หรอกครับ ตอนนี้คุณโยชิกิก็ยังเป็นที่หมายปองของลูกค้ากับ ผู้เช่าร้านหลายคนอยู่นะ

ไม่รู้เพราะเหตุใด โยชิก็มักเป็นที่ถูกใจของหญิงสาวอายุมากกว่า เป็นพิเศษ เป็นเรื่องจริงที่หญิงสาวเหล่านั้นมักชอบเข้ามาทักเขา แต่ พฤติกรรมเช่นนั้นกับการเป็นที่หมายปองดูจะคนละความหมาย ครั้นจะปฏิเสธก็เสียเวลาอธิบาย และเขาก็ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยเรื่องไร้สาระแบบนั้นด้วย

อุจิมุระ การทักทายถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่สําคัญมากนะ ถ้าว่าง พอจะพูดจาไร้สาระล่ะก็ มาฝึกกันอีกสักรอบดีไหม?”

"ไม่เอาแล้วครับ ขอโทษครับ"

รุ่นน้องผู้มีข้อดีตรงที่ว่าง่าย กล่าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เมื่อลงบันไดตรงด้านในสุดก็จะเจอกับแผนกส่งเสริมการขายใกล้ๆ ทางเข้าสํานักงานอันไร้ความเป็นระเบียบนั้นคือที่นั่งของโยชิกิ

หลังจากวางแพ็กไดฟุกุไส้ถั่วลงบนโต๊ะทํางานแล้ว เขาก็เปิด คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเพื่อตรวจดูยอดขายของวันก่อนทันที หนึ่งวันของโยชิกิเริ่มต้นด้วยกิจวัตรเช่นนี้

***************************************************

อย่าเมินผมสิครับ

คําพูดเฉกเช่นทุกครั้งดังขึ้นจากชายหนุ่มผู้กําลังยกแก้วจรดริมฝีปาก ชายผู้นี้คือ โซเอจิมะ โมโตยะ

ทุกคนภายในร้านนี้จะไม่เรียกนามสกุลของอีกฝ่าย แต่จะเรียกชื่อจริงแทน

ก็ปฏิเสธไปหลายครั้งแล้วนี่ครับโยชิกิยิ้มขณะให้คําตอบเช่นทุกครั้ง

ถึงจะยังไม่ได้คบใครก็เถอะ"

เสียดายจัง

โมโตยะว่าพลางแกว่งแก้วในมือจนได้ยินเสียงน้ําแข็งกระทบกัน

จริงๆ เลยนะ คนที่ทิ้งโมโตยะได้ก็คงจะมีแต่โยชิกินี่แหละ"

โอนเนอร์ประจําร้านแห่งนี้ยืนห่อไหล่อยู่อีกด้านของเคาน์เตอร์

ใช่เลย ตั้งแต่เกิดมาผมเพิ่งเคยแพ้อย่างหมดรูปแบบนี้เป็นครั้งแรก ทุบสถิติเลยครับ

              โมโตยะยิ้มจนปรากฏริ้วรอยที่หางตา

ชายหนุ่มตรงหน้าเป็นคนที่ไม่ว่าอะไรก็ดูใหญ่โตไปหมด ทั้งตา จมูก ริมฝีปาก ไปจนถึงมือ เส้นผมสีดําสนิทไร้การแต่งเติมชนิดหาได้ยากยิ่งในสมัยนี้รับกับคิ้วเข้มซึ่งแสดงออกถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้าประดับอยู่บน ใบหน้า ถัดลงมาคือนัยน์ตาคู่หนึ่งพร้อมเปลือกตาสองชั้น

โมโตยะมีรูปร่างสูงใหญ่ แม้ร่างกายจะดูบึกบึน แต่ก็ไม่ได้ให้ความ รู้สึกคุกคามแต่อย่างใด สิ่งที่ช่วยทําให้หลายๆ ส่วนซึ่งดูน่ากลัวจนเหมือน กําลังข่มขู่ใครอยู่นั้นนุ่มนวลขึ้น คงจะเป็นดวงตาสีดําสนิทที่กําลังเปล่งประกายราวกับเด็กน้อยกระมัง

โมโตยะเป็นผู้ชายที่แม้รูปโฉมจะไม่โดดเด่นมากนัก แต่กลับทรง เสน่ห์จนเกินควร รอยยิ้มของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดชวนมอง ยาม พบปะผู้คน บรรยากาศรอบกายของเขาจะดูนุ่มนวล ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร โมโตยะก็พูดคุยด้วยได้ทันทีอย่างสนิทสนม

คงจะต้องจีบอย่างใจเย็นเท่านั้นแหละ

โยชิกิหลุดขํากับคําพูดยอมรับสภาพกลายๆ ของอีกฝ่าย เวลา อยู่เงียบๆ ภาพลักษณ์ของโมโตยะจะดูดิบเถื่อน แต่วิธีการพูดของเจ้าตัวมัก ทําให้คู่สนทนารู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้เสมอ

ถ้าอย่างนั้นก็ทําต่อไปแล้วกันนะครับ

แม้จะพูดกันเล่นๆ แต่การสนทนาแบบนี้ก็ทําให้โยชิกิสบายใจ แถมเขายังถูกใจร้านที่มีชายคนนี้อยู่ด้วย

ทว่าน่าเสียดาย โยชิกิไม่ได้ชอบคนแบบโมโตยะ เขาชอบผู้ชายที่ดูสุขุมแบบผู้ใหญ่ต่างหาก

ร้าน “KK” แห่งนี้เป็นร้านเฉพาะกลุ่ม โดยจะมีแต่ผู้ชายซึ่งแสวงหา ความรักระหว่างเพศเดียวกันแวะมาเยือนเท่านั้น

ร้านนี้ไม่ได้เป็นสถานที่ลึกลับหายากอะไร ทางร้านมีกฎเหล็กว่า หากต่างฝ่ายต่างพึงพอใจ จะเข้าไปพูดคุยทําความรู้จักหรือเชิญชวนกันก็ทําได้เลย แต่การกระทํานอกเหนือจากนั้นถือเป็นข้อห้าม ฐานลูกค้าเองก็

พิจารณาเป็นอย่างดี

แม้กระทั่งในตอนนี้ ดูเหมือนตรงโซฟาด้านในสุดจะมีการเจรจา เกี่ยวกับการค้าบางอย่าง แต่เหมือนจะไม่ถึงขั้นซื้อขายแลกเปลี่ยนกันแต่อย่างใด

สาเหตุที่ตั้งกฎแบบนี้อาจเป็นเพราะรสนิยมเฉพาะของโอนเนอร์ ผู้ซึ่งนําชื่อย่อในอักษรโรมันจิของตัวเองมาตั้งเป็นชื่อร้านก็เป็นได้ พอมองผ่านๆ แล้ว ภาพลักษณ์ภายนอกของโอนเนอร์ดูเหมือนเป็นชายวัยกลางคน ธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น

ร้านนี้เป็นร้านที่สามารถนั่งดื่มได้อย่างสบายใจ ถือเป็นสถานที่ให้ โยชิกิได้ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าทางใจได้เป็นอย่างดี ยามที่ได้ก้าวเท้าออกจากที่ทํางานซึ่งมีแต่ผู้หญิง มุ่งหน้าตรงมาที่ที่ทําให้จิตใจที่ว้าวุ่นของเขาสงบ ลง ไม่ใช่ว่าไม่ถูกกับผู้หญิง หากแต่ก็รู้สึกเครียดๆ อยู่บ้าง

เสียงบานประตูหน้าร้านเปิดออกดึงความสนใจของโยชิกิให้หันไปมอง มีชายสองคนเดินถือร่มเข้ามา

ยังไงก็เถอะ ปีนี้ฝนตกถี่จังนะครับ

ไม่ชอบให้ฝนตกเลย"

ใช่ ทางนี้ก็ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศเต็มๆ เหมือนกันโมโตยะมุ่ยหน้าพลางถอนหายใจ แม้จะอายุน้อยกว่าโยชิกิหนึ่งปี แต่พอทําสีหน้าแบบนั้นแล้วก็ยังดูน่ารัก ที่จริงอีกฝ่ายก็จัดว่าเป็นผู้ชายที่ใช้ได้คนหนึ่ง

ระหว่างที่พูดคุยกันเรื่อยเปื่อยสบายๆ โยชิกิก็คอยดูเวลาไปด้วย ตอนนี้ก็สี่ทุ่มแล้ว ร้านที่เปิดให้บริการยันเช้าเช่นที่นี่ แม้จะเป็นช่วงเวลา เดียวกันในวันธรรมดา ที่นั่งก็ยังคับคั่งไปด้วยผู้คนอยู่เสมอ

วันนี้จะเอาอย่างไรต่อดี

โมโตยะที่เผลอมองนาฬิกาของโยชิกิเข้าพอดี ก็อุทานออกมาก่อนเบิกตากว้าง

ป่านนี้แล้วหรือเนี่ย อยู่กับคุณโยชิกิทีไร ผมลืมเวลาตลอดเลยร่างสูงยกเครื่องดื่มในมือเข้าปากจนหมดแก้วอย่างรีบร้อน

กลับไวจัง พรุ่งนี้วันหยุดไม่ใช่หรือ?”

ถ้าจําไม่ผิด โมโตยะเองก็หยุดทุกวันพุธเหมือนเขา หากเป็นช่วงปกติ ตอนนี้ก็น่าจะยังไม่ถึงเวลากลับนี่นา

น่าเสียดายเหมือนกัน แต่พรุ่งนี้มีงานใหญ่รออยู่น่ะครับชายหนุ่มลุกจากที่นั่งพร้อมกล่าวว่าไว้เจอกันนะครับก่อนจะ เอื้อมมือมาตบบ่าเบาๆ ทําให้โยชิกิได้กลิ่นหวานๆ คละด้วยกลิ่นหอมเบาบาง เป็นกลิ่นที่รู้สึกได้เฉพาะตอนเข้าใกล้อีกฝ่ายเท่านั้น ไม่ใช่กลิ่นน้ําหอม แต่เป็นกลิ่นหอมหวานซึ่งประทับอยู่บนผิวกาย

โยชิกิมองตามแผ่นหลังของโมโตยะผู้หันมาโบกมือให้ก่อนออกจากร้านไป หลังจากประตูปิดลง โอนเนอร์ก็หันมาทางโยชิกิ

อาจจะดูหุ้นไม่เข้าเรื่องนะโอนเนอร์เอ่ยขึ้นพลางจุดบุหรี่ในมือ

แต่แนะนําให้เป็นเขา

หมายถึงโมโตยะ?”

ใช่ เป็นผู้ชายที่ดีนะ แถมยังซื่อตรง จริงจัง ไม่ใช่ประเภทที่กะคบเล่นๆ ด้วย

"นั่นสินะ"

ก็เคยเห็นลูกค้าคนอื่นในร้านเข้ามาทักโมโตยะอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เคยเห็นชายหนุ่มสนองตอบเลยสักครั้ง และช่วงนี้ดูเหมือนเจ้าตัวเห็นเขา มาที่ร้านทีไร เป็นต้องรีบมานั่งข้างๆ ตลอด

เคยได้ยินสาเหตุที่เขาถูกทิ้งมาก่อนไหม?”

เรื่องแบบนั้นเขาไม่พูดกับผมหรอก

เพียงแค่คุยกันแต่เรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย อีกฝ่ายเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่รู้จักแค่ชื่อกับหน้าตา หากก้าวเท้าออกจากร้านก็คงไม่มีทางได้เจอกันอีก ยิ่งจะให้นัดมาเจอกันยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ พวกเขาก็แค่มาที่ร้านนี้ในวันเดียวกันทุกสัปดาห์ แค่เจอหน้าและพูดจาในเชิงเกี้ยวพากันเท่านั้น เป็นความสัมพันธ์ที่โยชิกิเป็นฝ่ายปฏิเสธอยู่ฝ่ายเดียว

ก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ ถ้างั้นจะเล่าให้ฟัง เขาน่ะเป็นพวกชอบ ใครก็มักจะคอยตามออดอ้อนอยู่ตลอด เพราะงั้นก็เลยโดนทิ้งเพราะอีกฝ่ายรําคาญไงล่ะ

อย่างนี้นี่เอง"

จะว่าไปก็พอเข้าใจอยู่ ถึงจะเคยคุยกันแค่ในร้านนี้ แต่โมโตยะก็ เป็นคนช่างสังเกตและคุยเก่งพอตัว จึงสานต่อบทสนทนาได้อย่างมีไหวพริบ ทั้งยังฉลาดในการเลือกหัวข้อมาพูดคุยได้หลากหลายอีกด้วย

ครั้งแรกที่ได้คุยกันนั้นเป็นเพราะเขาบังเอิญจับแก้วที่มีหยดน้ําเกาะอยู่เต็มไปหมดจนนิ้วเปียกชุ่ม ตอนนั้นโมโตยะที่อยู่ข้างๆ ได้ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้

เนื่องจากเพิ่งเคยถูกปฏิบัติด้วยแบบนั้นเป็นครั้งแรก เขาเลยเผลอตัวมองหน้าอีกฝ่ายตาไม่กะพริบ ทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน จากนั้นโอนเนอร์ก็ได้แนะนําโมโตยะให้รู้จัก พวกเขาจึงได้เริ่มพูดคุยกันตั้งแต่ตอนนั้น

หลายเดือนต่อมา โมโตยะก็เริ่มพูดเกี้ยวเขามาจนถึงทุกวันนี้ อีก ฝ่ายบอกว่าอยากเข้ามาทักและคอยเล็งหาจังหวะเหมาะๆ มาตลอด แล้วก็เป็นเช่นนั้นจวบจนกาลเวลาผ่านไป

ปัจจุบันนี้โยชิกิรู้สึกว่าการได้คุยเล่นกับโมโตยะก็สนุกสนานดี และ นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทําให้เขาสบายใจเมื่อได้มาเยือนร้านนี้

รําคาญนั้นหรือ? ไม่รู้สินะ ผมยังไม่เคยเจอใครช่างอ้อนขนาดนั้นมาก่อน โอนเนอร์ได้แต่ถอนหายใจ

โยชิกิ คนอย่างนายควรจะถูกให้ความสําคัญมากกว่านี้นะ

หมายความว่ายังไง?"

ขณะทวนถามถึงถ้อยคําอันยากจะเข้าใจความหมาย โยชิกิก็ขยับแว่นให้เข้าที่

ก็นายออกจะสวย”

ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก"

สงสัยโอนเนอร์จะชื่นชอบใบหน้านี้มากกระมัง ถึงได้ขยันชมบ่อยเหลือเกิน ทว่าโยชิกิกลับไม่ชอบใบหน้าตัวเองสักเท่าไหร่

เพราะมองอย่างไรก็เป็นใบหน้าที่เย็นชาและไม่อาจพูดว่าดูสมชายชาตรีได้อย่างเต็มปาก โดยรวมแล้วโยชิกิมีผิวสีอ่อนที่สืบทอด พันธุกรรมมาจากพ่อแม่ ส่วนร่างกายของเขานั้นไม่ว่าจะออกกําลังหรือเล่น กีฬาใดๆ ก็ยังคงผอมบางซึ่งถือเป็นปมด้อยมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว

การที่เลือกสวมแว่นทั้งที่สายตาไม่ได้ผิดปกติก็เป็นเพราะเรื่องงาน เขาอยากให้นัยน์ตาชั้นเดียวแสนเย็นชาของตนดูอ่อนโยนมากขึ้นสักนิด คงเพราะโยชิกิยังฝังใจเรื่องที่เคยเข้าไปช่วยเด็กหลงทางคนหนึ่งด้วยความ

เมตตา แต่เด็กน้อยกลับกลัวเขาจนร้องไห้จ้า

ทั้งที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าอยู่ตลอด แต่ก็ใช่ว่าบรรยากาศรอบตัวจะอ่อนโยนตามไปด้วย อีกทั้งการที่ไม่ยินดีกับฉายาเจ้าชายที่ได้รับก็เป็นเพราะในใจของเขาร่ําร้องปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้มีภาพลักษณ์สูงส่งแบบนั้นเลยสักนิด

ฉันว่าถ้าเป็นโยชิกิล่ะก็ อยากจะเปลี่ยนผู้ชายเมื่อไหร่ก็ทําได้

ก่อนหน้านี้ก็เคยพูดไปแล้วรอบหนึ่งนะ

อ้าว งั้นหรือ?”

โยชิกิส่งยิ้มให้โอนเนอร์ซึ่งแกล้งทําไม่รู้ไม่ชี้ อันที่จริงเขาก็อยากทําแบบนั้นบ้างเหมือนกัน การที่จริงจังไปหมดทุกเรื่องคงเป็นนิสัยติดตัวมา ตั้งแต่เกิด ถึงจะเหนื่อยหน่ายกับตัวเองที่เป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่อาจใช้ชีวิตอย่าง

ขอไปทีได้

...แต่คิดว่ายังไงก็ดีกว่าผู้ชายคนนั้นแน่ๆโยชิกิได้ฟังก็พึมพําอย่างเห็นด้วยพลางยิ้มขึ้น

"นั่นสินะ"

เพราะเข้าใจดี ถึงได้แยกทางกัน

แก้วค็อกเทลถูกยกขึ้นดื่มจนหมด ที่โยชิกิกําลังดื่มคือมิโมซ่า หากแต่ไม่ได้ผสมแอลกอฮอล์ลงไปด้วย

หลังจากคิดว่าได้เวลากลับแล้ว ขณะที่กําลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้นั้น ประตูหน้าร้านก็ถูกเปิดออก แม้จะไม่ได้คาดหวัง แต่ก็อดหันหน้าไปมองไม่ได้

ไม่น่าเชื่อว่าบุคคลในบทสนทนาเมื่อกี้จะโผล่มาได้จังหวะพอดี ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในร้านด้วยชุดสูทเต็มยศแม้จะอยู่ในช่วงฤดูร้อน เป็นเงามืดในอดีตอันแสนคุ้นตาของโยชิกิ ชายผู้มาใหม่เดินมานั่งที่เก้าอี้ว่างข้าง ๆ แล้วจึงสั่งสติงเกอร์ เฉก

เช่นทุกที

รอนานหรือเปล่า?"

ปอยผมด้านหน้าที่ยาวเกะกะถูกเลยเก็บอย่างเรียบร้อย กลิ่นน้ําหอมที่โยชิกิจดจําได้เป็นอย่างดีโชยมาแตะจมูก

ตรงนี้

ไม่ได้นัดกันไว้นี่"

ถึงจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ลึกๆ ก็ยังคาดหวัง ดังนั้นเขาถึงได้อยู่

โยชิกิเอ่ยขอเครื่องดื่มแบบเดิมอีกแก้วกับโอนเนอร์

ไม่มีการพูดคุยระหว่างรอของที่สั่งไป ต่างฝ่ายต่างเงียบจนได้ยินเสียงเพลงเปิดคลอในร้านชัดเจนทุกเนื้อหา

(Mimosa เครื่องดื่มชนิดหนึ่ง ทําจากแชมเปญผสมน้ําส้ม Stinger ค็อกเทลที่ประกอบด้วยเมนทอลและบรั่นดี)

พอรับแก้วเครื่องดื่มมา โยชิกิก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่าขอดื่มล่ะนะแต่ กลับไม่มีอารมณ์อยากดื่มเลยแม้แต่น้อย

จะไม่เย็นชาไปหน่อยหรือ?"

ทั้งนิสัยชอบยกยิ้มแค่มุมปาก ทั้งการใช้ปลายนิ้วก้อยดันกรอบ แว่นให้เข้าที่เข้าทาง ทั้งปอยผมด้านหน้าซึ่งผล็อยตกลงมา ไม่ว่าส่วนไหนก็ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่โยชิกคุ้นเคยดี ทั้งที่เป็นเช่นนั้น หัวใจก็ยังคงเต้นรัวแรงอย่าง ห้ามไม่ได้จนถึงกับต้องเบือนหน้าหนีเพื่อปกปิดความจริงข้อนี้

ไม่ว่าอายุจะเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ ใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้าก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง

"ไม่นี่ พวกเราไม่ได้คบกันสักหน่อย

ผู้ชายคนนี้...ฮาระ ยูอิจิ เคยเป็นคนรักของโยชิกิมาก่อน ไม่ได้เป็นอีกแล้วในปัจจุบัน เป็นแค่อดีตเท่านั้น

"นั่นสินะ

ชายหนุ่มยกมือยักไหล่คล้ายจงใจให้เห็นแหวนบนนิ้วนางข้างซ้ายเป็นแหวนแพลทินัมสีเงินเรียบๆ ที่สามารถสวมใส่ติดตัวได้เป็นประจํา

และมันก็สมควรจะเป็นเช่นนั้นแน่นอนอยู่แล้ว เพราะสองปีมานี้  ฮาระสวมมันอยู่ตลอด

โยชิกิ

ฮาระเอื้อมมือมาทาบทับลงบนมือของโยชิกิข้างที่จับแก้วอยู่

คืนนี้จะเอายังไงดี?”

ร่างสูงมองสบตาพร้อมกับเอ่ยเชิญชวนอย่างเถรตรง โยชิก็รีบเบนสายตาหนีไปอีกทาง

ฉันขอปฏิเสธ

ถ้าอีกฝ่ายกลับบ้านไปก็ยังมีภรรยาเฝ้ารออยู่ เพราะฉะนั้นจะตอบรับคําชวนไม่ได้เด็ดขาด อย่างน้อยโยชิกิก็ยังมีคุณธรรมข้อนี้อยู่ในใจ

ถ้าแค่แวะไปที่บ้านล่ะ? ไม่ทําอะไรหรอกน่า สัญญาเลย"

เชื่อได้หรือ?”

โยชิกิถามพลางถอดแว่นออก ก่อนจะบรรจงเช็ดทําความสะอาด ด้วยผ้าเช็ดหน้าทั้งที่ตัวเลนส์ไม่ได้มัวจนเสียทัศนวิสัยแต่อย่างใด

การได้พบกับฮาระในชมรมสมัยมหาวิทยาลัยถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้

ในตอนนั้นโยชิกิยังไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไร ก็ได้ฮาระคนนี้เป็นผู้สอนให้ ร้านนี้ก็เหมือนกัน เขามาที่นี่เพราะได้รับคําแนะนําจากฮาระ สําหรับโยชิกิแล้ว อีกฝ่ายถือเป็นคนพิเศษ

หากได้อยู่กับฮาระคนนี้ในห้องกันสองต่อสอง อย่างไรเสียก็ไม่มี ทางไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ไม่ใช่แค่ไม่เชื่อใจอีกฝ่าย แต่เขาไม่เชื่อใจตัวเองด้วยเหมือนกัน

การห่างเหินจากไออุ่นของใครบางคนมาเนิ่นนานนั้น แม้จะน่าเศร้า แต่ก็เป็นความจริง หากลองได้ทาบทับริมฝีปากกันสักครั้งหนึ่งแล้วก็ ย่อมต้องการบางอย่างที่มากกว่านั้น เขาคงไม่อาจหยุดยั้งตัวเองได้เป็นแน่

ทิฐิจังนะ

อีกฝ่ายวางมือลงบนบ่า ตั้งให้โยชิกิขยับเข้าไปใกล้ก่อนกระซิบถ้อยคําหวานหู

แต่ถึงยังไงฉันก็ชอบนิสัยแบบนั้นของนายอยู่ดี

ต้องใช้เหตุผลมากพอดูในการฝืนไม่ให้เผลอปล่อยใจไปตามคําหวานอันล่อลวงนั้น

พูดด้วยผิดคนแล้ว....จะว่าไป เดี๋ยวนี้นายยุ่งๆ หรือ?” โยชิกิรีบเปลี่ยนเรื่องคุยท่ามกลางความดึงดันของอีกฝ่ายซึ่ง

แสดงออกอย่างโจ่งแจ้ง

ครึ่งปีมานี้ ฮาระแวะเวียนมาที่ร้านน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด

โยชิกิชักมือตัวเองออกมา แล้วเปลี่ยนมาเท้าคางกับเคาน์เตอร์แทน

ก็ใช่แหละ ตําแหน่งสูงขึ้นใช่ว่างานจะน้อยลงเสียเมื่อไหร่ มีแต่จะ เพิ่มความรับผิดชอบมากขึ้น

ฮาระทํางานในบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง สาเหตุที่แต่งงานก็เพื่อ รักษาหน้าตาทางสังคมอีกทั้งยังได้รับการแนะนํามาอีกที ถึงโยชิกิจะไม่รู้ราย ละเอียดเกี่ยวกับที่ทํางานของฮาระมากนัก แต่ก็เคยได้ยินอีกฝ่ายพูดทํานอง ว่าถ้าไม่แต่งงานสักครั้งจะค่อนข้างลําบาก

เมื่อเปรียบเทียบกับโยชิกิผู้ทํางานอยู่ในแวดวงธุรกิจซึ่งมีแต่คนโสดเป็นส่วนใหญ่แล้ว จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจถึงความจําเป็นของฮาระเท่าไหร่นัก

เขาไปงานแต่งของฮาระในฐานะเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเจ้าบ่าว กระทั่งกล่าวสุนทรพจน์ในงานก็ทํามาแล้ว ฝ่ายเจ้าสาวเป็นเพื่อนร่วมงานผู้สวยงามโดดเด่น

ช่วยอดทนสักสามปีเถอะ เลิกกันชั่วคราวก่อน หลังจากนั้นฉันจะกลับมาหานาย

ฮาระพูดเช่นนั้นในคืนแจ้งข่าวแต่งงาน แน่นอนว่าโยชิกิไม่มีทาง เชื่อคําพูดเอาแต่ได้แบบนั้นแล้วรออีกฝ่ายอย่างเชื่อฟังแน่ๆ แต่ทว่า....

ตั้งแต่เลิกกัน เขาก็อยู่คนเดียวมาตลอดโดยไม่มีคนรักใหม่อีกเลย ระหว่างนั้นก็ถูกย้ายงานมาเป็นตําแหน่งปัจจุบัน มีหน้าที่การงานที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้น การได้ทุ่มเทเวลาให้กับงานและใส่ใจอย่างรอบคอบนั้นทําให้โยชิกิลืมความโดดเดี่ยวที่ต้องเผชิญไปได้

ฮาระเป็นผู้ชายคนเดียวที่เขารู้จัก อีกทั้งไม่เคยคิดจะไปคบหาใคร อื่นอีก โยชิกิรู้ตัวดีว่าตนเป็นคนประเภทเมื่อรักแล้วจะยึดติด ไม่ว่าอย่างไรก็ ขอให้ได้เจอหน้ากันนานๆ ครั้งก็ยังดี

เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้น เมื่อฮาระหยิบไฟแช็กขึ้นมาจุดบุหรี่ เปลี่ยนดีไซน์แพ็กเกจอย่างนั้นหรือ พอมองซองบุหรี่แล้วโยชิกิก็จําได้ หากคนไม่สูบบุหรี่หรือไม่ได้ใกล้ชิดคุ้นเคยกับผู้สูบแล้วล่ะก็ คงไม่มีทางสังเกตเรื่องยิบย่อยนั้นได้

โยชิกิ

ฮาระหรี่ตามองขณะเอื้อมมือมาวางบนตักของโยชิกิ

นายชอบฉันไหม?”

ช่างเป็นคําถามที่แสดงความโอหังเหลือเกิน ควันสีเทาจางๆ ของบุหรี่ลอยมาทําให้โยชิกิระคายเคืองตา

ทําไมถึงถามแบบนั้น?"

ภายในหัวคล้ายจะเห็นภาพตัวเองพยักหน้ายอมรับและเอาแต่พูดว่ายังชอบฮาระอยู่ ทั้งเสียงทุ้มนั่นก็ดี ปลายนิ้วเรียวนั่นก็ดี ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจลืมได้ลง

ทว่าจะปล่อยให้คําพูดนั้นหลุดออกมาไม่ได้เด็ดขาด จะพูดเรื่อง แบบนั้นกับผู้ชายที่เลิกรากันไปแล้วได้อย่างไร ตอนนี้อีกฝ่ายมีภรรยาเป็นตัว เป็นตนอยู่แล้ว พูดไปก็ไม่มีประโยชน์

ฉันไม่สบายใจเลย ไม่รู้ว่านายกําลังรอฉันอยู่หรือเปล่า?” ทั้งที่ปกติฮาระจะเอาแต่ดื้อดึงเชื่อมั่นในตัวเองอยู่ตลอด จะมีก็แต่เวลาแบบนี้เท่านั้นที่อีกฝ่ายจะพูดเรื่องไม่สบายใจออกมา

ช่างเป็นผู้ชายที่ขี้ขลาดเสียจริง

อาจจะไม่รอแล้ว"

การพูดแบบนี้คล้ายเป็นการยอมรับกลายๆ ว่าเขากําลังรออยู่มิใช่หรือ โยชิกิปวดเศียรเวียนเกล้ากับคําตอบของตัวเอง น่ากลัวว่าคงดื่มมากเกินไปแล้วกระมัง

แบบนั้นก็แย่สิ

ฮาระขยับแขนมากุมมือโยชิกิทันที มือใหญ่ยังคงหยาบกร้านเหมือนเดิมดังเช่นภาพในความทรงจํา

รออีกหน่อยสิ สัญญากันไว้แล้วนี่

โยชิกินึกอยากจะตอกกลับไปว่า จําไม่เห็นได้ว่าเคยสัญญาแบบนั้น แต่สิ่งที่ฮาระมอบให้...วางอยู่ในห้อง....คือหลักฐานของสัญญานั้น... ทําให้เขายังคงรออีกฝ่ายเสมอมา

สัญญาอะไรกัน ไม่เห็นรู้เรื่องเลย

ทั้งที่ตั้งใจจะเบี่ยงประเด็น แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับสั่นเครือคิดจะแกล้งทําเป็นลืมงั้นหรือ?”

ความจริงแล้วโยชิกิไม่เคยลืม เหลืออีกแค่หนึ่งปีเท่านั้น นาฬิกา นับถอยหลังในใจของเขายังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ

น่าเศร้าใจจริงๆ ทั้งที่ฉันชอบโยชิกิมาตลอดแท้ๆ

โยชิกิเผลอตัวเคลิ้มไปกับถ้อยคําหวาน อาจเป็นเพราะห่างเหิน

กับสิ่งนั้นมานานแล้วกระมัง ตอนยังคบกันไม่เคยเห็นอีกฝ่ายจะหยอดคําพูด หวานหูให้รู้สึกดีเช่นนี้เลยสักครั้ง แม้ใจจริงจะอยากพ่นคําด่าออกไปมากแค่ไหนก็ทําไม่ได้

ความจริงแล้วเขานึกอยากสัมผัส อยากกอด อยากถูกโอบกอดด้วยอ้อมแขนนั้นมาตลอด

การปิดกั้นความรู้สึกที่เอ่อล้นขึ้นมาอย่างท่วมท้นนี้ช่างยากเย็นเหลือเกิน

อย่าเงียบสิ

หลังจากเอ่ยวาจาอ่อนโยนให้โยชิกิคาดหวังอย่างโหดร้าย ฮาระก็จะกล่าวว่าตัวเองไม่ผิด และเอาแต่เรียกร้องจนกว่าตัวเองจะพอใจอยู่อย่างนั้น

***************************************

[HANA NISHINO] The Lessons Of Lust 1


ถอดเสื้อกับกางเกงออก"
คําพูดนี้มันหมายความว่าอย่างไร เด็กน้อยวัย 10 ขวบอย่าง นัตสึโนะเองไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกหรือรังเกียจแต่อย่างใด นัตสึโนะถอดเสื้อและกางเกงออกตามคําสั่ง แล้วยืนอายต่อหน้าเขา ชายหนุ่ม นิ่งมองนัตสึโนะในสภาพนั้นพักหนึ่ง ความเงียบเริ่มเข้ามาภายในห้อง มีเพียงเสียงอันแผ่วเบาของนาฬิกาที่แขวนอยู่ข้างผนังที่ยังดังอยู่
ยิ่งตื่นเต้นเท่าไหร่ก็ยิ่งทําให้หายใจไม่ออก ร่างกายเปลือยเปล่า เมื่อถูกมองด้วยสายตาที่เร่าร้อนดั่งไฟเผา ก็สั่นเทาอย่างไม่รู้สาเหตุ ภายในร่างกายนั้นเริ่มเร่าร้อนขึ้นมา
คุณอา..."
นัตสึโนะพูดออกมาอย่างแผ่วเบาราวกับเสียงหายใจ เพียงแค่ชายหนุ่ม เริ่มขยับตัวเข้าใกล้
เก็บเป็นความลับอย่าให้แม่รู้นะ"
นัตสึโนะพยักหน้ารับคํา แล้วชายหนุ่มก็จูบและโอบกอดนัตสึโนะ อย่างแผ่วเบา สัมผัสเร่าร้อนประทับลงบนริมฝีปากบางแทรกผ่านเรียวฟัน เข้าไปข้างใน แม้จะทําให้รู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่แต่อย่างใด ยิ่งไปกว่านั้นขณะที่ถูกสัมผัส สติเหมือนถูกดึงให้ล่องลอยไป
นี่เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม
แม้จะยังเด็กแต่เรื่องแบบนี้ก็สามารถรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณ นัตสึโนะ หัวใจเต้นรัวกับการลักลอบทําเรื่องที่เป็นความลับ
"ร่างกายของนัตสึโนะนุ่มลื่นจังเลยนะ...มือใหญ่ลูบโลมไปทั่วร่างกาย จนร่างบางสั่นเทา
เมื่อมองผ่านไหล่ของชายหนุ่มไปนอกหน้าต่างนั้นเต็มไปด้วยแสงสว่างและสีเขียวของฤดูใบไม้ผลิ เพียงแค่กําแพงกั้นเท่านั้นเอง แต่ทําไม ที่ตรงนี้กับข้างนอกโลกมันถึงได้ต่างกันอย่างนี้
อ๊ะ อื้อ...
เสียงของความรู้สึกจากสัมผัสแรกแผ่วออกจากปากของนัตสึโนะ และนั่นคือครั้งแรก ที่ทําเรื่องลับๆ กับผู้ชายในห้องขนาดหกเสื้อ
*  ****************************** *

เสื้อผ้าถูกถอดกระจัดกระจายตามพื้นห้อง นัตสึโนะกอดแผ่นหลังของมัตสึอุระคนรักสมัยมหาวิทยาลัยเอาไว้ พร้อม หลับตารับสัมผัสหยอกเย้าจากเขา มือซุกซนค่อยๆ เคลื่อนไปในส่วนลึก ของร่างกาย ลึกลงไป...พร้อมกับที่นัตสึโนะถอนหายใจออกมาอย่างเคืองๆ
ไม่ใช่ตรงนั้นลึกลงไปอีก
ทุกครั้งที่มีเซ็กซ์กับมัตสึอุระ เขาไม่เคยทําให้มีความสุขเต็มอิ่มเลยสักครั้ง
แต่ก็เพราะชอบ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
มัตสึอุระเป็นเพื่อนที่อยู่คลาสเดียวกัน และเริ่มสนิทเมื่อตอนที่อยู่ ห้องวิจัยเดียวกัน หากถามว่าใครเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน คนที่ค่อนข้างเข้ากับ คนอื่นได้ยากอย่างนัตสึโนะถึงจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว หากก็ยังอยู่คนเดียว แม้เขาจะเป็นแบบนั้นแต่มัตสึอุระกลับเข้ามาคุยด้วยความสนอกสนใจ
นายเองก็เป็นผู้ชายหน้าตาดี ทําไมถึงไม่มีแฟนกับเขาสักที"
เมื่อถูกถามอย่างนั้นแล้ว นัตสึโนะก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ อย่างมีเลศนัย ออกมา ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมาก็มีผู้หญิงหลายต่อหลายคนมาสารภาพรัก นัตสึโนะก็ได้แต่ปฏิเสธไป นั่นเพราะว่าเขาเป็นประเภทที่ไม่สามารถคบกับ ผู้หญิงได้นั่นเอง
การอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ตั้งแต่ที่นัตสึโนะจําความได้ พ่อแม่ก็ทะเลาะกัน และสุดท้ายจบลงด้วยการหย่าร้างเมื่อตอนที่นัตสึโนะยังอยู่มัธยมต้น
แม้ว่าทางฝ่ายแม่จะรับนัตสึโนะไปเลี้ยง แต่ไม่นานแม่ก็แต่งงานใหม่ และกับน้องชายคนใหม่แม้ว่าจะอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้สนิทแต่อย่างใด พอเข้า มหาวิทยาลัยนัตสึโนะจึงตัดสินใจออกจากบ้าน และติดต่อกับครอบครัว แทบจะนับครั้งได้ ตอนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยพ่อแม่เองดูท่าจะไม่พอใจเสีย ด้วยซ้ํา เขาเลยต้องขอทุนเรียน
สําหรับนัตสึโนะแล้วชีวิตมนุษย์ไม่ใช่เรื่องรื่นรมย์เอาเสียเลย ตลอด ช่วงเวลายาวนานของชีวิตถูกปกคลุมด้วยหมอกควันจางๆ หากสิ่งที่ทําให้ นัตสึโนะคิดว่าโลกนี้ยังดีอยู่ก็เพราะมัตสึอุระ เขาเป็นเหมือนสิ่งที่เชื่อมระหว่าง นัตสึโนะกับโลกภายนอก เพราะหลายสิ่งหลายหลายอย่างที่ได้รับจาก มัตสือระมันเป็นความรู้สึกดีอย่างไม่เคยมีมาก่อน เป็นเรื่องธรรมดาที่ นัตสึโนะจะคิดกับเขาเป็นเพื่อน แต่นัตสึโนะก็ไม่ได้คิดที่จะบอกออกไป เพราะ ไม่ว่าจะมองยังไงมัตสึอุระก็ไม่ใช่คนประเภทเดียวกับตนเป็นแน่ ฉะนั้นเก็บ ไว้แบบนี้แหละดีที่สุดแล้ว
ตอนไปดื่มที่ห้องของมัตสึอุระ นัตสึโนะในสภาพเมามายก็เผลอ สารภาพความในใจให้มัตสึอุระได้รู้ คงเพราะรู้สึกหงุดหงิดที่มัตสึอุระเอาแต่ พร่ําเพ้อถึงแฟนเก่าที่เพิ่งเลิกลากันไป พอเห็นท่าทีของมัตสึอุระที่นั่งมองตน หลังจากที่สารภาพออกไปแล้ว นัตสึโนะก็รู้ทันทีว่าตนไม่ควรสารภาพออกไป เลย ทั้งที่อยากเก็บเขาไว้เป็นคนสําคัญแท้ๆ
ฝ่ายมัตสึอุระทั้งที่ถูกสารภาพ หากกลับไม่ถอยหนีจากนัตสึโนะ แต่ยัง...
"ถ้าเป็นนัตสึโนะล่ะก็ ถึงจะเป็นผู้ชายฉันก็ยอม
มัตสึอุระโผเข้ากอดนัตสึโนะ ในตอนนั้นนัตสึโนะเหมือนขึ้นสวรรค์ ก็ไม่ปาน
คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่ถูกเขาโอบกอดนัตสึโนะ..." มัตสึอุระกระซิบข้างหูนัตสึโนะที่กําลังหลับตาพริ้ม นัตสึโนะลืมตา
"เริ่มเลย..ได้ไหม?”
อะ อื้ม
แม้ร่างกายจะยังไม่พร้อม หากก็ยอมรับคําร้องขอจากมัตสึอุระ "ช่วงนี้ฉันงานเยอะ เหนื่อยมาก นายอยู่ข้างบนได้ไหม?” " ก็ได้
นัตสึโนะลุกขึ้นคร่อมบนลําตัวของมัตสึอุระแล้วจับส่วนที่กําลังแข็ง ตัวเต็มที่ของมัตสึอุระไปข้างหลังของตนเอง
หลังจากทนแรงกดอย่างหนัก สุดท้ายแก่นกายของมัตสึอุระก็เข้าไป อยู่ภายในตัวนัตสึโนะ แต่นั่นไม่ได้ทําให้เขามีความสุขเลยสักนิด เพราะต้อง ทนต่อแรงเสียดสีมหาศาลแล้วต้องพยายามทําร่างกายให้สบาย ทั้งประสาน ลมหายใจให้เข้ากันกับอีกฝ่าย
            "อ่า..รู้สึกดีมากๆเพียงแค่มัตสึอุระพึงพอใจแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
นัตสึโนะกระชับแก่นกายของมัตสึอุระแน่นพร้อมหลับตาเร่งจังหวะ ไล่ตามความสุขของตัวเองจนเผลอครางเสียงแผ่ว ๆ ออกมา เมื่อส่วนที่คับ แคบเสียดสีกับแก่นกายของมัตสึอุระ ยิ่งเร่งเร้าร่างกายยิ่งเร่าร้อนขึ้นเรื่อย ๆ
อีก....อ้า"
มัตสึอุระจับสะโพกของนัตสึโนะไว้แน่นแล้วสวนกลับเข้าไปอย่าง รวดเร็ว เพราะยังไม่ทันตั้งตัวเลยอาจจะทําให้นัตสึโนะรู้สึกเจ็บแทบขาดใจ แต่พอมัตสึอุระแหงนหน้ามอง กลับเห็นนัตสึโนะครางเสียงแห่งความสุข ออกมา
ของฉันทําให้นายรู้สึกดีมากใช่ไหม?”
อื้ม..ดีมากเลยล่ะ"
ทั้งที่เจ็บหากนัตสึโนะต้องแสร้งทําเป็นรู้สึกดี เพราะไม่อยากให้ อีกฝ่ายเสียความมั่นใจ
จากนั้นมัตสึอุระก็เอามือจับสะโพกของนัตสึโนะอีกครั้งพร้อมกับ ขยับโยกขึ้นลงอย่างรวดเร็ว
อ๊ะ อ๊า
โอ้ววว..จะออกแล้ว"
ในขณะที่ผู้ถูกกระทํายังครางด้วยความเจ็บปวดอยู่นั้น มัตสึอุระก็ได้ ขึ้นบันไดไปยังจุดสุดยอดแล้ว เขาปล่อยน้ํารักเข้าไปด้านในของช่องทาง คับแคบแล้วไปถึงเป้าหมายแห่งความสุขเพียงคนเดียวอย่างเห็นแก่ตัว
"อีก
ขณะที่นัตสึโนะกําลังชันเข่าและร่างกายทนต่อแรงกระแทกอยู่นั้น มัตสึอุระก็ปล่อยลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาบอกว่าตัวเองถึงจุดหมายแล้ว
หลังความเจ็บปวดซึ่งเริ่มจะจางหายแทนที่ความสุขจะได้เข้ามา หากมัตสึอุระก็จบมันไปเสียก่อน
การมีเซ็กซ์กับมัตสึอุระใช่ว่าจะทําให้ตนอิ่มเอมอย่างเต็มที่ แต่ที่ยอมทําจนจบก็เพราะอยากรู้ว่าครั้งแรกกับมัตสึอุระจะเป็นอย่างไร และอีกอย่างคงเพราะว่ามีความสุขที่เป็นที่ต้องการ เหมือนกับว่าตนเอง มีความสําคัญสําหรับเขา
อะ...อ่า"
อ้ารู้สึกดีชะมัด"
การทําให้เข้าถึงเป้าหมายคือหน้าที่ของนัตสึโนะ และแน่นอนว่าการ ที่นัตสึโนะจะถึงเป้าหมายของตัวเองนั้นคือต้องช่วยตัวเอง
ช่วงหลังๆ มานี้ การมีเซ็กซ์กับมัตสึอุระนั้นตนมักจะไปถึงความสุข แต่เพียงคนเดียวโดยไม่ได้สนอีกฝ่ายเลย แต่นัตสึโนะก็ทําเป็นมองไม่เห็นและ มองข้ามเรื่องนี้ไป เพราะสิ่งที่นัตสึโนะต้องการไม่ใช่ร่างกายหากขอแค่มี มัตสึอุระอยู่ข้างๆ ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว สําหรับคนที่ไม่มีผู้ชายอื่นเลยนอก จากมัตสึอุระคิดว่าการมีเซ็กซ์คงเป็นรูปแบบนี้ บางที่ด้านหลังของตน ต่างหากที่เป็นฝ่ายรับความรู้สึกยากเอง และก็อับอายถ้าหากจะเรียกร้องกับ อีกฝ่าย
พอออกจากความคิดตนเอง มารู้ตัวอีกที่มัตสึอุระก็หลับไปเสียแล้ว นัตสึโนะถอนหายใจเบาๆ แล้วโค้งตัวซบแผ่นหลังของมัตสึอุระ
เมื่อความเงียบเข้ามาในห้องเรื่องราวเก่าๆ ก็ผุดขึ้นมาในหัว ทั้งที่ ผ่านไปเป็นสิบปีแล้ว กลับผุดขึ้นมาในความทรงจํา ราวกับว่าเป็นเรื่องที่เพิ่ง เกิดขึ้นเมื่อวาน


copyright © . all rights reserved. designed by Color and Code

grid layout coding by helpblogger.com